วันเดย์ทริปครั้งนี้ เราขอให้ทุกคนขยับตัวออกจากบ้านสักนิด เขยื้อนตัวออกจากรุงเทพสักหน่อย เมินหน้าหนีเมืองใหญ่แสนศิวิไลซ์ข้ามมาสู่ป่าผืนกว้างที่ ‘คุ้งบางกระเจ้า’ แหล่งพักหายใจ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นปอดของกรุงเทพฯ ด้วยลักษณะพื้นที่เป็นเกาะรูปทรงคล้ายกระเพาะหมู มีแม่น้ำล้อมรอบทำให้ที่นี่ชอุ่มไปด้วยต้นไม้ พร้อมวิถีชุมชนที่อบอวลไปด้วยความเป็นครอบครัว นอกจากพาเดินตลาดยอดนิยมของเขาแล้ว เราขอพาทุกคนไปเปิดโลกใบใหม่ที่ “บางกอบัว” ชุมชมริมน้ำในอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ให้เราได้เที่ยวบางกระเจ้าแบบใหม่แบบสับ กลับบ้านไปพร้อมความอิ่มเอม
แม้จะบอกว่า บางกอบัวนี้อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ แต่การแบ่งเขตเป็นเพียงแค่แม่น้ำเจ้าพระยากั้นกลางเท่านั้น การเดินทางก็แสนจะง่ายดาย หากขับรถจากใจกลางกรุงเทพฯ มาที่นี่ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง แต่ถ้าไม่มีรถส่วนตัวแบบเรา สามารถนั่งรถไฟฟ้า (BTS) สายสีเขียวมาลงที่สถานีบางนา ทางออก 2 แล้วต่อรถมาที่ท่าเรือวัดบางนานอก (ท่าเรือข้ามฟากไปบางกระเจ้า) ก็สามารถข้ามฝั่งมาได้อย่างง่ายดาย ส่วนเรือที่ข้ามนั้น เขาใช้เรือขนาดใหญ่สามารถเอามอเตอร์ไซค์หรือจักรยานคู่ใจข้ามมาได้ด้วย เรียกว่าเป็นสวรรค์ของนักปั่นชัด ๆ
ตั้งแต่ตอนนั่งเรือ เราสามารถเริ่มดื่มด่ำวิถีชีวิตริมแม่น้ำเจ้าพระยาของคนแถบนี้ได้เลย ซึ่งเขาอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนในจินตนาการสมัยอ่านหนังสือเรียนภาษาไทยเป๊ะ ไม่ว่าจะเป็นบ้านไม้ริมน้ำ ห้อมล้อมด้วยต้นไม้สีเขียว มีชานระเบียงนั่งหย่อนใจ พร้อมบันไดให้ขึ้นลงสู่ผืนน้ำได้อย่างสะดวก พอเห็นคนเดินไปมาทำกิจวัตรต่างกันในแต่ละบ้าน ยิ่งทำให้สิ่งปลูกสร้างแสนคลาสสิกนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันตา
ก่อนที่จะเข้าไปในชุมชน ที่ที่ทุกคนต้องแวะคือ “วัดบางน้ำผึ้งนอก” ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือ เราเลยถือโอกาสมาไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยให้การเที่ยวของเราฟ้าเปิด ทางโล่งราบรื่นตลอดวัน มองเผิน ๆ หน้าตาวัดดูใหม่เอี่ยม สะอาดสะอ้าน แต่จากที่เขาสันนิษฐานพบว่าวัดแห่งนี้อยู่มายาวนานตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย หรือราว ๆ 355 ปีมาแล้ว โดยตัววัดแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ‘วัดบางน้ำผึ้งนอก’ อยู่ติดริมน้ำ และ ‘วัดบางน้ำผึ้งใน’ เป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อใหญ่ มีจิตรกรรมฝาผนังโบราณอันทรงคุณค่า และพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายให้เราได้กราบสักการะ หรือใครอยากเริ่มเช่าจักรยานปั่นก็ทำได้ที่นี่เช่นกัน
จากวัด เราเดินมาประมาณ 500 เมตรก็จะเจอกับ “ชุมชนบางกอบัว” อันเป็นจุดหมายหลัก กิจกรรมแรกที่ทำให้เรารู้จัก และเห็นภาพรวมของชุมชนริมน้ำนี้ได้เป็นอย่างดีคือ ‘การนั่งเรือพาย ชมคลองแพ’ หรือจะพายคายัคเที่ยวเองก็ได้เช่นกัน โดยคนของชุมชนจะพายไปตามลำคลองที่มีน้ำไหลเอื่อย พร้อมแมกไม้ของต้นหวาย, จาก, ลำพู ฯลฯ ขึ้นเป็นแนวยาว สร้างร่มเงาให้เราแทบจะตลอดเส้นทาง บางจุดเป็นซุ้มอุโมงค์ บอกเลยว่าถ่ายรูปสวยม๊ากกกกกกก.. โดยพี่คนพายจะทำหน้าที่บรรยายเรื่องราวของจุดต่าง ๆ ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ชี้ต้นไม้ทุกชนิด บอกประโยชน์ใช้สอยแต่ละส่วนได้หมด เล่าการใช้ชีวิตริมคลองตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งเมื่อก่อน ลำคลองเส้นนี้จะเป็นเส้นทางค้าขายสุดป๊อปที่ชาวบ้านใช้เดินทางไปยังเขตคลองเคยในสมัยที่ยังไม่มีถนนตัดผ่านนั่นเอง
ทริปล่องเรือนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที พอใกล้ถึงฝั่ง กระเพาะก็เริ่มส่งเสียงร้องอย่างรู้งาน จนเราต้องขอหยุดพักการเที่ยวเล่น เป็นการกินอย่างหนัก ด้วยการเดินตรงไปที่ “ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง” ตลาดที่เปิดตั้งแต่เช้ายันเย็น เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ถือเป็นแหล่งรวมอาหารท้องถิ่นที่บ่งบอกความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ได้แบบสุดปัง!! ทั้งของคาว-หวาน ขนมไทยหาทานยาก ให้เยอะเครื่องแน่น สวนทางกับราคาที่แสนจะเป็นมิตรด้วย
นอกจากของกิน เขาก็มีพวกเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของฝาก ต้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ กระทั่งของสด บอกเลยว่าเห็นผักสดแล้ว อยากกลับบ้านไปทำสลัดกินมาก เฟรซเหมือนน้องยังไม่รู้ตัวว่าโดนเด็ดมาจากดิน เอาเป็นว่าสินค้าที่วางขายมีครบทุกรูปแบบ ถ้าพาแม่มาด้วยน่าจะละลายทรัพย์ไปได้โขเลย
แต่ทางเราเห็นว่าเรื่องกินคือเรื่องใหญ่ที่สุด จึงขอทำหน้าที่ไกด์พาชิมแบบแตกแตนสักกรุบ ฟีลลิ่งเดินไปกินไปเพลิน ๆ เริ่มจากขนมไทยก่อนเลย เพราะในเมืองกรุงหาที่อร่อยยากขึ้นทุกวัน ขนมไทยบางน้ำผึ้งจะออกแนวหวานแบบละมุนไม่แสบคอ กินแล้วไม่รู้สึกผิด กะทิหอมแตกมันแบบคั่ก ๆ หันมาอีกด้านก็เจอห่อหมก ลูกชิ้นเอ็นไร้แป้งกรอบกรุบ ๆ แล้วยังสารพัดของทอดที่กองเรียงส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจ รสชาติอาหารที่นี่จะเน้นหวานเผ็ดกลมกล่อม ถือเป็นรสชาติที่ถูกปากคนไทยมาก ๆ
พลาดไม่ได้เลยคือทอดมันปลาอินทรี ที่ใครมา จำต้องซื้อมาชิมแล้วติดใจไปทุกราย เพราะการใช้ปลาอินทรีมาทำทอดมัน เท็กซ์เจอร์จะเด้งหนุบสู้ลิ้นมากกว่าปลากรายนิดหน่อย มีถั่วฝักยาวเพิ่มความกรอบ พร้อมกลิ่นสมุนไพรที่บดเป็นเนื้อเดียวกับปลาได้พอดี ตัดความจัดจ้านด้วยแตงกวาและราดน้ำจิ้มรสหวานเผ็ดนิด ๆ ก็คือเดอะเบสต์ของตลาดเลยนะ อร่อยจริง
ของว่างอีกชนิดที่เรากินบ่อยมากตอนเด็ก ๆ แต่กลับไม่ค่อยได้เห็นแล้วในตอนนี้ คือเมี่ยงคำ อาหารที่ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านในเรื่องการบำรุงธาตุทั้ง 4 ให้สมดุล ซึ่งคุณปู่คุณย่าชอบกินกันมาก จนเรากลายเป็นแฟนคลับเมี่ยงคำไปด้วย สิ่งสำคัญคือใบเมี่ยงหรือใบชะพลูที่ต้องอ่อนกำลังดี ไม่แก่จนเฝื่อน มะนาว พริก ขิง หอมแดงที่ต้องสด สร้างรสชาติได้อย่างพอดี มะพร้าวคั่ว กุ้งแห้งกรอบ ๆ ส่งกลิ่นหอมขึ้นจมูกหน่อย ๆ และพระเอกของงานนี้คือน้ำราดรสหวานที่มาทำให้ทุกอย่างนัวเข้ากันอย่างกลมกล่อม เรียกได้ว่ามีทั้งรสหวาน เปรี้ยว เค็ม เผ็ดและกลิ่นสมุนไพรครบในคำเดียว
ขนมอีกชนิดที่กำลังฮอตฮิตสุด ๆ ในตอนนี้คือขนมบ้าบิ่น หลายที่ขายเป็นแบบถาด แบบวาฟเฟิล ฯลฯ แต่ทางเรานิยมกินแบบออริจินอล ที่ทำเป็นแผ่นกลม ๆ ขนาดพอดีคำ เพราะมันให้ความกรอบนอกหนึบในในทุกคำที่กัด ร้านที่เราเจอคือ ‘เฮียเหน่งขนมบ้าบิ่น’ รสชาติถูกจริตคนยุคใหม่มาก ๆ ด้วยการทำแบบหวานน้อย พร้อมเนื้อมะพร้าวอ่อนที่ให้มาแบบแน่นทุกอณู จนคิดว่าเจ้าของสวนมาเปิดขายเอง และยังมีของหวานที่ทำจากมะพร้าวขายอีกมากมาย บ้าบิ่นขายอยู่ที่กล่องละ 35 บาท 3 กล่อง 100 เท่านั้น ก็เหมาไปเลยสิคะ
หากกินจนตาปรือ เขาก็มีโซนศาลาให้เรานั่งพักพุงรับลมเย็น ๆ ริมน้ำด้วยเหมือนกัน หรือจะพักยกแล้วไปช้อปปิ้งเสื้อผ้างานคราฟต์ชาวบ้านก่อนก็ไม่ติด เพราะในคุ้งน้ำนี้ เขามีผลิตภัณฑ์เด่น ๆ ของแต่ละชุมชนด้วย อาทิ ชาใบจาก ผ้ามัดย้อม ธูปหอมทำมือ ลูกประคบสมุนไพร ผลิตภัณฑ์ขัดผิวจากธรรมชาติ ฯลฯ ถามถึงทัวร์ชมตลาด ก็มีทัวร์เรือหางยาวให้เราซิ่งชมทั่วบางกระเจ้าไว้บริการเช่นกัน
หรือถ้าใครอยากหาคาเฟ่หลบแดด ในบางกระเจ้าก็มีอยู่เต็มไปหมด เราเลือกมานั่งที่ Green Zone Cafe คาเฟ่ในสวนเน้นความกรีนเข้ากับคาแรคเตอร์สาวรักธรรมชาติอย่างเรา ภายในร้านตกแต่งอย่างคลาสสิก เผยผนังเปลือยเปล่าด้วยอิฐสีแดง ล้อมรอบด้วยกระจกบานใหญ่ให้แสงภายนอกส่องถึง ได้พักสายตากับความเขียวฉ่ำด้านนอก หรือจะเลือกนั่งโซนเอาท์ดอร์ เขาก็จัดที่นั่งใต้เงาไม้ให้อย่างดี แถมยังมีโฮมสเตย์ไว้คอยบริการด้วย ใครชอบบรรยากาศแบบนี้ก็ลองจองมาพักกันได้
กิจกรรมที่ถ้าไม่ทำก็เหมือนมาไม่ถึง คือการเช่าจักรยานชมปอดแห่งเมืองกรุงในคุ้งบางกระเจ้า เรียกว่าเป็นไฮไลต์ของที่นี่เลยล่ะ โดยเราสามารถปั่นไปยังเช็คอินสปอตได้ทุกจุด มีให้เลือกตั้งแต่ พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย หมู่บ้านมอญ วัดเก่าแก่อีกมากมาย แต่ที่ป๊อปสุด ๆ คือการปั่นเล่นใน “สวนศรีนครเขื่อนขันธ์” ที่พักผ่อนหย่อนใจให้ผู้คนมาใช้พื้นที่ได้อย่างอิสระ บ้างออกกำลังกาย บ้างปูเสื่อปิกนิก ให้อาหารปลา ปั่นไป มองผู้คนมาทำกิจกรรมไป มันดูมีชีวิตชีวาสุด ๆ
มาถึงที่ก็ต้องเอาสักหน่อยกับการโพสท่าในตำนาน ตรงหอดูนก สิ่งปลูกสร้างสูง 3 ชั้น จากบนนี้เราจะมองเห็นยอดไม้ทอดไกลสุดตา หากมาวันที่คนน้อย บรรยากาศเงียบสงบนกนานาพันธุ์จะบินเล่นให้เราได้เชยชม และเมื่อมองลงมาด้านล่างเราจะเห็นพื้นระเบียงไม้สีเข้มเรียงเป็นระเบียบ มีกิ่งก้านสีเขียวล้อมรอบเหมือนกรอบรูป ให้เราไปนอนโพสท่าพร้อมจักรยานคู่ใจ เท่านี้ก็ได้รูปเด็ด ๆ มาเป็นของที่ระลึกแล้ว ถือว่าเป็นมุมมหาชนที่ใคร ๆ ก็ทำกัน
ปั่นกำลังเพลินก็เหลือบไปเห็นคนนั่งกันเป็นกลุ่มก้อน พร้อมคุณยายที่นั่งกางร่มขายของอยู่ใกล้ ๆ จิตวิญญาณนักกินทำงานอย่างว่องไว จะต้องเป็นของอร่อยอย่างแน่นอน เราเดินตรงไปพบว่าคุณยายเขาเปิดร้านขายเครื่องดื่ม ตรงทาร์เกตคนออกกำลังกายจนคอแห้งสุด ๆ นอกจากน้ำอัดลมต่าง ๆ เขาก็มีน้ำมะพร้าวอ่อน เป็นมะพร้าวน้ำหอมที่เฉาะให้ดื่มกันสด ๆ บอกเลยว่าชื่นใจเกินร้อย ช่วยรีเฟรซให้เราพร้อมปั่นต่อแบบเต็มคาราเบล
ก่อนตะคริวจะกินน่อง ทางเราขอแนะนำให้ทุกคนหาพื้นที่นั่งชิลกันแถว ๆ ริมบึงใกล้ ๆ กับสะพานเขื่อนขันธ์มรรคา ไม่ไกลนักจากหอชมนก ซึ่งตรงนี้เราจะได้เห็นวิวสะพานไม้ทอดยาวไปกลางสระนำ้ ที่เราแทบไม่เจอผู้คนเลย เหมือนปิดโซนได้ชิลเอาท์แบบไพรเวท ถ้าได้มากับแฟนช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกคงจะโรแมนติกสุด ๆ ไปเลย
ขอยกบางกัวบอ บางกระเจ้า บางน้ำผึ้งหรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียกให้เป็นอีกที่ที่ทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว จนตั้งตัวแทบไม่ทันนอกจากตลาดที่หลายคนคงเคยมากันแล้ว เราอยากให้ลองมาท่องเที่ยวตามชุมชนที่เขามีอัตลักษณ์ไม่ซ้ำกัน อย่างที่ ‘บางกอบัว’ แห่งนี้ เราสัมผัสได้ถึงวิถีท้องถิ่น การอยู่ร่วมกับสายน้ำได้อย่างเป็นธรรมชาติ สร้างความสงบที่พรั่งพรูเข้ามาในจิตใจ จนเกือบลืมไปเลยว่าที่นี่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ เพียงเอื้อมมือ
ด้วยรัก
บันทึกคนขี้เที่ยว