ญี่ปุ่นในสายตาเราเปรียบเหมือนหญิงสาวมากเสน่ห์ที่ไม่ว่าจะฤดูไหนเธอก็สวยเฉิดฉายได้เสมอ ยิ่งท่ามกลางท้องฟ้าสดใสไร้เมฆในหน้าร้อน ยิ่งขับให้ชุดยูกาตะสีหวาน ทรงผมที่เผยให้เห็นต้นคอขาวๆ และรอยยิ้มใสซื่อ ดูน่าหลงไหลไม่ต่างจากแสงระยิบระยับบนผิวน้ำเลยล่ะ สำหรับทริปนี้ขอบอกเลยว่าว๊าว ว๊าว ว๊าว วาวระยับเตะตาเพราะเราจะพาไปเที่ยวแหล่งรวมวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นทั้งโอซาก้าและเกียวโต เริ่มที่อิเนะ หมู่บ้านประมงที่สวยที่สุด เดินเล่นย่านเมืองเก่าที่รายล้อมไปด้วยตึกสูง ถ่ายรูปคู่กับวัดที่อยู่ในมือของคนญี่ปุ่นทุกคน ไปจนถึงหามุมถ่ายรูปย่านมรดกโลก ฯลฯและนอกจากเราจะออกเดินทางเสพความสวยงามแล้ว เรายังจะลองลิ้มชิมรสอาหารที่สดใหม่จากท้องทะเลอย่างหอยนางรมตัวอ้วนที่ตลาดปลา ทาโกยากิลูกโตสอดไส้ปลาหมึกยักษ์เนื้อแน่นของดีประจำเมือง ข้าวต้มร้อนๆ หอมฉุยที่หมู่บ้านชาวประมงอิเนะ ดื่มด่ำกับซูชิราคาแสนถูกแต่เนื้อแววระยับอร่อยจนติดใจ ผลิตภัณฑ์จากชาเขียวทั้งโซบะ ทาโกยากิ เกี๊ยวซ่า ไอศกรีมซอฟเสริฟสุดฟินส์ เนื้อย่างลายหินอ่อนรสเข้มข้นชวนน้ำลายสอ ฯลฯ ทำท้องให้ว่าง ฟิตร่างกายไว้ให้พร้อม แล้วตามเรามาจ้า
Jinrikisha หรือรถลากญี่ปุ่นก็เป็นอีกหนึ่งกิมมิกมักจะมีให้บริการตามสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ
ที่เกียวโตก็มี Jinrikisha ให้เห็นแสดงได้ถึงการเป็นมหานครที่คึกคัก
และมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอันดับต้นต้นของญี่ปุ่น ที่นี่เต็มไปด้วยความศรีวิไล
ความรุ่งเรื่องที่สืบเนื่องกันมาเพราะว่าที่นี่เป็นอดีตเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น
ที่สั่งสมความเจริญ ยิ่งใหญ่ มีเอกลักษณ์ ผ่านวันและเวลามาอย่างยาวนานจนกลายมาเป็น
ที่ท่องเที่ยวสุดคลาสสิคและทันสมัยในที่เดียวกัน และย่านเมืองเก่าที่ยังโด่งดังเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มาจนถึงทุกวันนี้ก็มีรถลากที่ถูกลากโดยชายหนุ่มร่างกายกำยำที่นุ่งกางเกงขาสั้นราวกับผ้าเตี่ยว เดินแล้วเลาะไปมาในย่านเมืองเก่าจนกลายเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งที่เห็นได้ทุกครั้งไป
อาหารญี่ปุ่นนั้นนอกจากจะมีชื่อเสียงในเรื่องของวัตถุดิบคุณภาพสูงที่สดใหม่แล้ว
ก็ยังขึ้นชื่อในเรื่องของความพิถีพิถันเรื่องการกินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกด้วย
เพราะไม่ว่าจะเป็นอาหารยามเช้าก็ต้องมาพร้อมเครื่องเคียงที่เข้ากันได้ดี
หรือจะเป็นอาหารยามเย็นก็ขาดไม่ได้กับซุปร้อนร้อนที่หอมกรุ่น
แม้แต่ขนมหรือเครื่องดื่มก็ยังต้องมีวิธีการดื่มวิธีการทำ
ที่ปราณีตราวกับกำลังสร้างสรรค์ผลงานศิลปะกินได้ยังไงอย่างงั้น
นอกจากดอกไม้ที่ชูช่อสวยไสวรอรับแสงอาทิตย์แล้ว
ก็เห็นจะเป็นสาวสาวในชุดยูกาตะนี่แหละที่เป็นอีกสีสันหนึ่งของฤดูร้อนของญี่ปุ่น
ที่ใครใครเห็นเป็นต้องหลงรัก จะนั่งมองชุดสวยๆ เดินผ่านไปผ่านมาหรือขอถ่ายรูปคู่กับสาวสาวเค้าก็ยินดี แต่จะให้เด็ดก็สามารถเช่าชุดยูกาตะเที่ยวให้เนียนเนียนแบบเพลินเพลิน
ก็มีให้เช่าอยู่ แทบทุกที่ เพราะชุดยูกาตะ คือชุดประจำชาติในช่วงฤดูร้อนของญี่ปุ่น
ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดชุดหนึ่งของโลก ดังนั้นคำนวณจำนวนวันให้ดีแล้วเอาชุดไปน้อยกว่าวันเดินทางสักหนึ่งชุด จะได้จัดยูกาตะแบบเต็มๆกันสักวัน
และแน่นอนทุกการเดินทางไม่ว่าใกล้หรือไกล ในหรือนอกประเทศ
หากเส้นนั้นมีสายการบินที่ใครใครก็บินได้อย่างไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์
เราหวังใจไว้ให้เป็นอันดับหนึ่งเพราะราคาดีมีโปรเยอะแถมคุณภาพคับแก้ว
แล้วจะไม่ให้ติดใจจองแพ็คสุดคุ้มทุกเที่ยวที่เดินทางได้ไงล่าาา
ไปจองกันได้เลยที่ www.airasia.com
แล้วเมื่อมาถึงญี่ปุ่นการเดินทางหลักๆ แน่นอนว่าหนีไม่พ้นการใช้รถไฟ
ดังนั้นเราจึงเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง
ด้วยการจองตั๋วรถไฟ JR kansai WIDE pass ตั้งแต่ก่อนออกเดินทางล่วงหน้า
ซึ่งเจ้าบัตรใบนี้ช่วยให้ประหยัดค่าเดินทางในพื้นที่คันไซไปได้มาก
เพราะสามารถใช้บริการรถไฟท้องถิ่นได้ไม่จำกัดเที่ยวติดต่อกันถึงห้าวัน
หรือจะออกไปนอกเมืองอย่างนาราโกเบ โอซาก้า และโอคายามะ ก็ใช้ได้
วิธีการซื้อก็ซื้อได้ง่ายตามเว็บไซต์ที่เราให้ไปแล้วไปรับที่สนามบินคันไซได้ทันที
สะดวกสบายและคุ้มค่าอย่างนี้อย่าลืมวางแผนการเดินทางให้ดี จองpass เดินทางอะไรแบบนี้ให้ครบก่อนน้า
Uji
หนึ่งในเส้นทางการท่องเที่ยวของเมืองเกียวโตที่มีทางประวัติศาสตร์สวยงามและของกินรสเลิศ เมืองที่มีแม่น้ำอูจิผ่ากลาง และโด่งดังเรื่องชาเขียวก็คือเมืองอูจิ เมืองมรดกโลกที่นักท่องเที่ยวไทยยังไม่ค่อยรู้จักนักแต่ถ้าได้ลองมารับรองว่าจะต้องหลงรักเพราะบรรยากาศเก่าเก่าสุดคลาสสิคและกลิ่นของชาเขียวหอมหอมที่ลอยฟุ้งอยู่ทั่วถนนนั้นยากที่จะห้ามใจไม่ให้ชอบได้จริงๆ ไฮไลท์หลักที่ริมฝั่งแม่น้ำอูจิก็คือรูปปั้นของหญิงสาวผมยาวสลวยใบหน้าเต็มอวบอิ่มกำลังนั่งอ่านบทกวีม้วนยาวอยู่ในมือเธอคือมุราซากิ ชิกิบูนักกวีที่มีชื่อเสียงโด่งดังผู้แต่งนิยายคลาสสิคโรแมนติกShining Princess ที่ได้ทัศนียภาพแสนร่มรื่นของเมืองอูจิเป็นฉากดำเนินเรื่อง แต่ตอนนี้เธอได้กลายเป็นตำนานและเป็นหนึ่งในฉากดำเนินเรื่องของนักท่องเที่ยวเสียเองแล้ว
หลายอย่างที่ปุ่นไปแล้วว่าที่นี่คือเมืองที่โด่งดังในเรื่องชาเขียวทำให้มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับชาเขียวออกมาเป็นผลิตภัณฑ์หลัก อย่างมากมายแต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือไอศครีมซอฟเสิร์ฟชาเขียวที่จะเปลี่ยนวันอันร้อนระอุให้กลายเป็นความสดชื่นแสนสดใสในพริบตาเดียว เพราะได้ความหวานมันจากนมโคชั้นดี ความเข้มข้นหอมสดชื่นจากชาเขียวมัจฉะแท้แท้ รองรับโคนสีน้ำตาลอ่อนสุดกรอบกรุบ โคนที่หนึ่งผ่านไปซัก 2 3ก้าว รับรองคนที่สามจะตามมาอย่างไว ก็มันทั้งอร่อยและหน้าตาดีใครจะอดใจไม่ลองไหวล่ะ จริงไหม??
เมืองนี้ไม่ได้มีแต่เรื่องกินที่โดดเด่น กว่าจะมาเป็นเมืองมรดกโลกได้แน่นอน
ว่าเค้าต้องมีโบราณสถาณชิ้นสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์รวมอยู่ด้วยแน่นอน
และนี่คือวัดไม่ดัง แต่คุ้นตา นักเดินทางที่เคยมาญี่ปุ่นอย่างแน่นอน เอ๊ะ งงแล้วสิ
เฉลยเลยแล้วกันถ้าอยากรู้ก็ลองพลิกเหรียญสิบเยนดูสิ ว่าทีนี้น่ะคุ้นหรือยัง
ก็วัดสีแดงสลับขาวที่ตั้งอยู่กลางน้ำนี้ คือวัด Byodo-in Temple
ที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของเหรียญ 10 เยนนั่นเอง ที่นี่คือต้นแบบของสถาปัตยกรรมสายโจดูของชาวพุทธในประเทศญี่ปุ่นที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 998เพื่อให้เป็นบ้านพักตากอากาศของขุนนางในสมัยนั้นก็จะถูกเปลี่ยนให้เป็นวัดอย่างทุกวันนี้ในภายหลัง ใครที่มาถึงเมืองนี้แล้วก็อย่าลืมเตรียมเหรียญ 10 เยนไว้ให้ดี จะได้มีไว้ถ่ายคู่กับวัดมาลงไอจี เพิ่ม storiesให้ทั้งสวยและมีความรู้
กินหวานกินคาว กินคาวกินหวานสลับกันไปคือหัวใจของสายกิน หลังจากเดินผ่านผ่านโต๋เต๋อยู่ที่ถนนสายชาเขียว มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยของกินแต่สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาเรามากกว่าอะไรก็คือภาพของทาโกยากิลูกใหญ่ที่ราดซอสสีเขียวเข้ม กับเกี๊ยวซ่าชิ้นโตที่มาพร้อมกับผงสีเขียวคล้ายชาเขียว เมื่อมีคำถามเราก็อยากจะหาคำตอบไม่รอช้ารีบเข้าไปสั่งทั้งสองอย่างมาลองชิมจะได้ฟินกันแบบจุกจุกซึ่งคำตอบที่ได้นั้นก็ช่างหอมอร่อยรสดี ได้มาตรฐานของความเป็นญี่ปุ่นสุดจะสอสีเขียวนั้นก็คือซอสมายองเนสผสมชาเขียวที่กินคู่กับทาโกยากิแล้วก็เข้ากันดี ส่วนเจ้าผงเขียวเขียวที่กินกับเกี๊ยวซ่าก็คือเกลือกับผงมัชชะ ที่เค็มๆหอมๆจนเผลอทานหมดแบบไม่รู้ตัว ชื่อร้านเราก็อ่านไม่ออกแต่ให้สังเกตง่ายง่ายว่าจะมีป้ายพรีเซนต์สองเมนูนี้อย่างหรูหราอยู่หน้าร้านฝั่งซ้ายมือก่อนถึงวัดเหรียญสิบนั่นแหละ
ถัดมาอีกหนึ่งเมนูอร่อยที่เกิดจากการเดินโซซัดโซเซไปตามทางแล้วเกิดอยากลองอะไรที่แปลกใหม่จึงได้ออกมาเป็นเมนูโซบะเย็นชาเขียวและซูชิชาเขียวกุ้งทอดอันที่จริงมันก็ไม่ได้ต่างกับแบบที่ไม่ใส่ชาเขียวเท่าไหร่นัก แต่ถ้าถามว่าควรลองไหมเราว่าแกก็ควรจะมาลองสักครั้งหนึ่งนะเพราะไหนๆก็มาแล้ว ที่สำคัญจะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองกันไปเลย เพราะของแบบนี้ลิ้นของแต่ละคนก็ให้คะแนนไม่เท่ากันอยู่แล้ว ส่วนถ้าถามว่าร้านไหนเด็ดสุดคงเป็นการยากที่จะตอบได้เพราะเราก็เพิ่งมาลองเองเพียงไม่กี่ร้าน เอาเป็นว่าเราอยากให้แกเดินตามความรู้สึกและเลือกตามความนึกคิดเอาได้เลย แต่ถ้ามีร้านไหนอร่อยถูกใจก็อย่าลืมแวะมาเล่าให้ฟังกันบ้างนะ
อ้อ ร้านอื่นอาจอยากให้ลองเลือกเอง แต่ร้านนี้เราขออนุญาตแนะนำเลยก็แล้วกัน เพราะนี่คือร้านชาเขียวที่โด่งดังติดอันดับท็อปในย่านนี้ เพราะนอกจากจะมีเมนูชาเขียวทั้งร้อนเย็นและไอศครีมให้เลือกหลากหลายเมนูแล้วการเสิร์ฟของเค้าก็ยังมีกิมมิกเก๋ไก๋โดนใจวัยรุ่นเข้าอย่างจังอีกด้วย ที่นี่คือร้าน Matcha republic ร้านเล็กๆสีขาวแต่ชวนสะดุดตาจากการตกแต่งที่ดูโมเดิร์นทันสมัยทำให้เราตัดสินใจเข้าไปลองได้ไม่ยากด้านในก็มีเมนูให้เลือกหลาย 10 เมนูอย่างที่บอกไป แต่ที่เห็นแล้วปิ๊งจนต้องสั่งก็คือเมนู Bubble Rock Salt Cheese Matcha latte เมนูซิกเนเจอร์ ที่นำเอาใบชาเขียวของเมืองอูจิมาผสมกับนมสดฮอกไกโดและไข่มุกจนออกมาเป็นสามความอร่อยในแก้วเดียว ที่สำคัญเรายังสามารถเลือกให้เสริฟในขวดแก้วที่ออกแบบมาให้เหมือนกับขวดหมึก ดื่มเสร็จจะเอากลับมาชื่นชมที่บ้านด้วยก็เป็นของฝากติดไม้ติดมือที่ทำให้จดจำและนึกถึงรสชาติอันหอมอร่อยนี้ได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ
Ine
และแล้วคุณค่าที่คุณคู่ควรวันเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึงนางเอกประจำทริปนี้ของเรานั่นเอง
เช้าวันนี้เราตื่นเช้ากว่าทุกวัน เพื่อขึ้นรถไฟJR ไปลงสถานี Amanohashidate
แล้วออกไปต่อรถบัสของTankai Busที่อยู่หน้าสถานี เพื่อไปลงที่สถานีอิเนะในราคา400เยน ***สำหรับใครที่คิดจะเดินทางแบบไปกลับ* รอบรถจากอิเนะกลับมาที่สถานีรถไฟ จะค่อนข้างน้อยและห่างกันพอสมควรดังนั้นควรเช็ครอบรถให้ดีมิเช่นนั้นจะพลาดรถไฟได้ที่หมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้บอกเลยว่าดาเมจแรงมากเพราะแค่เราเห็นรูปจากรีวิวแค่รีวิวเดียวก็ทำให้เราจิตใจไหวหวั่นฝักใฝ่ว่าต้องมาที่นี่ให้ได้
แม้ว่าจะต้องใช้เวลาเดินทางจากเกียวโตไปกลับรวมแล้วเกือบ 8 ชั่วโมงก็ตาม
มาสิ…เราจะเล่าให้ฟังว่ามันคุ้มค่ากับเวลาเดินทางมากแค่ไหน
ภายในหมู่บ้านแห่งนี้แกสามารถเลือกลงได้สองจุดคือพี่ป้ายอิเนะเลย
หรือที่ป้ายท่าเรือที่อยู่ก่อนป้ายอิเนะ1ป้ายก็ได้เช่นกัน
เราเลือกลงตั้งแต่ไปท่าเรือเพราะจะได้ซื้อตั๋วขึ้นเรือล่องไปตามอ่าวอิเนะ
และให้อาหารนกพร้อมพร้อมกับการชมวิวของหมู่บ้านให้ทั่วซะก่อน
ขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยากเพราะที่ป้ายรถเมล์จะมีร้านขายของฝากให้แกเดินเข้าร้าน
แล้วไปซื้อตั๋วด้านในก็เตรียมตัวขึ้นเรือได้เลย
ซึ่งเรือจะมีให้บริการตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าจนถึง 4 โมงเย็น
และใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในแต่ละรอบ
อ้อ ข้อควรรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือก่อนขึ้นเรืออย่าลืมซื้ออาหารนกซึ่งก็คือ
ข้าวเกรียบกุ้งตราคาล์บี้ ที่สนนราคาห่อละ 100 เยนติดมืออย่างน้อยหนึ่งห่อด้วยนะ
พอถึงเวลาขึ้นเรือเจ้าหน้าที่ก็จะตะโกนเรียกพวกเราไปร่วมสนุกกับการให้อาหารนก
และชื่นชมความงามของท้องน้ำเวิ้งว้างและแผ่นฟ้าไร้เมฆที่กลางอ่าวอิเนะ
เรือจะมีสองชั้นให้นั่งแต่เราขอแนะนำให้เปิดถุงคาล์บี้แล้วพรุ่งตัวไปบนชั้นสอง
หยิบขนมแล้วชูขึ้นให้ไวแต่ระวังตัวให้ดียังไม่ทันที่จะนับหนึ่งถึงสามเจ้านกสุดฉลาด
ก็จะโฉบมากินอาหารอย่างรู้ดี งานนี้ล่ะรัวชัตเตอร์ให้เร็วที่สุดจะได้มีชอตงามๆ
ที่จะนกกำลังกางปีกมารอรับอาหารที่ปลายนิ้วของเราไว้ลงเรียกไลท์ในโซเชียล
ขนมหมดห่อก็ลองทอดสายตาไปยาวยาวสังเกตุบ้านไม้สูงสองชั้น
และเรือลำน้อยที่ลอยนิ่งอย่างเงียบงัน ปล่อยเวลาและสายตาไว้อย่างนั้น
สำหรับเราภาพที่เห็นตรงหน้าเท่านี้ก็คุ้มมากเกินพอแล้ว
แต่มันก็คุ้มค่าได้มากกว่านี้อีก หลังจากที่เราเดินตรงตามถนนสายน้อยผ่านบ้านฟุนายะ
ผ่านเสียงคลื่นและผ่านกลิ่นปลาตากแห้ง ช่างน่าแปลกใจที่ความเรียบง่ายนี้กลับทำให้
หัวใจเรารู้สึกเบิกบานได้มากกว่าที่คิด และความธรรมดาเหล่านี้เองก็ช่างน่าหลงใหล
เสียงคลื่นกระทบฝาบ้านไปตลอดเส้นทางแม้เราไม่เห็นสายน้ำแต่เราก็รับรู้ได้
ว่ามันโอบล้อมเราอย่างใกล้ชิด ความเรียบง่ายนี้เองทำให้เราตระหนักได้ว่า
เทคโนโลยีแค่เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น
แต่ธรรมชาติต่างหากล่ะที่เป็นของจริงและเราก็อยู่ได้เพราะพวกเขา
เราจึงควรที่จะช่วยกันรักษาให้เสียงคลื่นยังคงกระทบฝั่ง ให้แสงดาวยังคงสาดกระทบก้อนหิน
ให้เราฝูงปลายังหากินได้อย่างอิสระในสายน้ำ แค่หนึ่งพฤติกรรมของเราที่เปลี่ยนแปลงไป
อาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ แต่อย่างน้อยเราก็ไม่สร้างภาระให้โลกมากขึ้น
ลด ละ เลิกการใช้ขยะแบบครั้งเดียวกันตั้งแต่วันนี้ดีกว่า
อีก 10 ปีข้างหน้าเราจะได้อย่างนี้ธรรมชาติสวยงามให้นั่งมองยามแก่เฒ่า
มัวแต่จินตนาการอย่างเพลิดเพลิน ก็มีแต่เสียงจากกระเพาะนี่แหละ
ที่เรียกเรากลับสู่ความเป็นจริง เราเลยแวะทานมื้อเที่ยงที่ร้านかもめ
ร้านริมน้ำที่เสริฟอาหารบนชั้นสอง มองเห็นอ่าวได้แบบกว้างๆ
และบรรยากาศดีชวนร้องว้าว ที่สำคัญอาหารก็อร่อยน่าประทับใจมากๆ
ทางเราสั่งเป็นเซตข้าวต้มน้ำชา วิธีการกินคือเทน้ำชาลงในข้าว
กินแกล้มกับปลานึ่งซอส ผักดอง และซุป ส่วนเพื่อนเราเป็นเซตข้าวพร้อมปลาดิบ
ที่เคียงมาพร้อมปลาหมึกดองและปลานึ่งซอสคนละชนิดกับของเรา
จริงๆเราว่ามันเป็นการทำอาหารที่ดูเรียบว่านมากเลยนะ ไม่ได้ปรุงแต่งหวือหวา
เคี่ยวนานสามวัน เครื่องเทศร้อยแปดชนิด แต่คงเพราะความสดใหม่
และวัตถุดิบที่ได้รับการดูแลอย่างดี
อาหารของชาวญี่ปุ่นเลยออกมาอร่อยแบบ วิ้งงงงงง งงง งง ไอเลิฟ
กินอิ่มเราก็เดินต่อมาอีกเล็กน้อยแล้วพบกับร้านน้ำชา ที่ด้านหน้าคือธรรมดามากกกกก
คือมีแค่ป้ายเล็กๆตั้งอยู่หน้าร้านว่า Chinzao แล้วเราก็ต้องเปิดประตูบานเล็กๆ
เข้าไปเจอกับเจ้าของร้านผู้ชายตัวเล็กๆที่พูดอังกฤษได้ดี กำลังนั่งอยู่ในดงชาของเค้า
หลังจากเลือกชาผ่านการชี้ไปที่ป้ายเมนูภาษาญี่ปุ่นที่อ่านไม่ออกสักตัวเดียว
ก็แจคพ๊อตได้มาเป็นชาออแกนิคอายุสิบกว่าขวบ
ที่หอมจับใจตั้งแต่ได้สัมผัสน้ำร้อนหยดแรก
วิธีการเสริฟก็ช่างแสนพิถีพิถันต้องนับเวลาชาเดือด
ควบคุมเวลาที่ทิ้งชาไว้ในน้ำร้อน บลาๆ จนคิดในใจว่าเอาแล้าวหลาวววว
งานนี้ชากาละกี่หมื่นเยนกันล่ะนี่ แต่โชคดีที่ออกมาถูกกว่าที่คิดมากคือพันเยนต้นๆ
ถือว่าเหมาะสมทั้งความดีงามของชา และบรรยากาศที่เรียกว่าดีแบบไม่มีที่ติ
เราเลยได้นั่งพักหย่อนก้น มองอ่าวแบบยาวๆ พร้อมอัพเดทการเดินทางให้โซเชียลรู้พอเป็นพิธี
เดินต่อไปอีกนิดเราก็แวะกันอีกจุดที่โรงงานสาเก ความพิเศษของที่นี่คือ
เป็นโรงสาเกที่มีแต่ผู้หญิงล้วนเป็นคนกลั่น ซึ่งก่อตั้งและคงธรรมเนียมนี้ไว้มายาวนานกว่า 265 ปี ไม่ว่าสูตรจะถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องแต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงถูกรักษาไว้
ให้เป็นเอกลักษณ์ของโรงกลั่นสาเกมุไคชุะ Mukai Shuzo
ก็คือวิธีการขนส่งที่จะใช้การขนส่งผ่านทางน้ำในแบบอดีตเท่านั้น
ที่นี่เราสามารถเข้าชมวิธีการผลิตรวมถึงแวะชิมและซื้อของฝากกลับมาได้ด้วย
จากที่คิดว่าไม่น่ามีอะไรทำมากนักแต่ตั้งแต่เดินทางออกมาเราก็ยังไม่ได้หยุดแวะพักอยู่เฉยๆเลยเพราะหลังจากเดินต่อมาอีกสักนิดเราก็เจอกับป้ายภาษาญี่ปุ่นอีกครั้ง
และของฝากที่ถูกวางไว้อย่างกระจุกกระจิกที่หน้าร้านทำให้เราหลงเดินตามเข้าไปแบบไม่รู้ตัวแล้วก็พบกับโรงจอดเรือที่มีคุณลุงคอยเก็บค่าเข้าให้เราเข้าไปถ่ายรูปได้
สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 150 เยน ข้างในก็อย่างที่เห็นในรูปเลย
คือเราจะได้ฉากหน้าเป็นเรือประมงขนาดกลางและฉากหลังคืออ้าวอิเนะสีฟ้า
คอมโพสดีขนาดนี้หน้าที่ของเราก็เหลือแค่หามุมเข้าไปยืนทำสวยช่วยชุมชน
แล้วให้เพื่อนกดชัตเตอร์ได้เลยแค่นั้นเอง
กลับเข้าตัวเมืองกันอีกครั้งแล้วมาเริ่มต้นกันที่ริมแม่น้ำที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 1200 ปี
ความชิวที่เหมาะแก่การมาเดินทอดน่องทิ้งเวลาและชื่นชมกระแสกาลเวลาที่ไม่เปลี่ยนแปลง
Kamo River เพราะนี่คือสายน้ำที่เป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของเกียวโต
เพราะมันรวบรวมทั้งการแสดงคาบูกิและเรื่องราวของดาบซามูไร
และแม้แต่ในปัจจุบันเราก็ยังเห็นวิถีชีวิตที่น่ารักของชาวญี่ปุ่นหลากเพศหลายวัย
ที่มาร่วมใช้เวลากัน ณ ริมน้ำแห่งนี้ ทั้งเดินเล่น นั่งเม้ามอย จัดการแสดง
โดยเฉพาะในหน้าร้อนที่เหล่าสาวสาวแต่งตัวในชุดยูกาตะ ยิ่งทำให้ ริมแม่น้ำสายนี้ดูสดใสมากกว่าฤดูอื่นอื่น
เดินถัดจากรินน้ำไปไม่ไกลนัก เราก็จะเจอกับร้านซูชิสายพานที่มุมถนน
ร้านนี้ชื่อว่า Musashi Sushi ที่มีราคาเริ่มต้นเพียง 146 เยน
มีเมนูให้เลือกหลากหลายมากๆทั้งแซลมอน ปลาโอ หน้าเนื้อ
หน้าข้าวโพดหน้าปลาไหล หน้าปลาหมึก ฯลฯ
ที่สำคัญชาเขียวร้อนเย็นฟรีไม่มีvat และเซอร์วิสชาร์ทเพิ่มอีก
อิ่มจุกราคาถูกและรสชาติดีเยี่ยม
เมนูที่เราแนะนำให้ลองคือ ซูชิเนื้อวัว ซูซิเนื้อม้า ซูชิปลาหมึก
จริงๆแล้วก็ลองลองไปเถอะเพราะโดยมากจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเลยทีเดียว
จนงานนี้ยกหรือโป้งสองข้างแนะนำให้ใจกันไปเลยจ้า
Pontocho
อิ่มท้องก็เดินย่อยกันอีกนิดออกมาที่ย่าน Pontocho
ตรอกขนาดเล็กที่เรืองรองด้วยไฟจากโคมไฟน้อยใหญ่
และสองข้างทางคือร้านอาหารยามเย็นที่มีให้เลือกสารพัดสิ่งอย่าง
ไม่ว่าจะเป็น เนื้อย่าง ชาบู ซูชิ หรือแม้แต่อาหารแบบฟิวชั่น
ซึ่งส่วนมากเปิดแค่ในช่วงเย็นถึงเวลาค่ำ
ทำให้หลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วที่นี่จะคึกคักมากเป็นพิเศษ
ใครอยากจะมาฝากท้องไว้ก็รับรองไม่มีผิดหวัง
แต่อาจจะเลือกยากนิดหนึ่งนะ
เพราะร้านมันเยอะมากจริงๆส่วนใครที่อิ่มแล้วแบบเราจะมาเดินถ่ายรูปเล่นก็ไม่ผิดกติกา
จุดต่อมาในเกียวโตที่ไม่ควรพลาดคือเขตอนุรักษ์สถาปัตยกรรมในเขตฮิกาชิยาม่า
ที่มีวัดคิโยมิสึ ศาลเจ้าโยซากะ และหอคอยยาซากะ เจดีย์ห้าชั้นที่มีความสูง 46 เมตร
เป็นไฮไลท์หลักเราแนะนำให้แกมาที่นี่ในช่วงเช้าหน่อย
เพราะคนจะได้ไม่เยอะมากไม่ต้องแย่งเฟรมกันถ่ายรูปแถมยังจะได้มีเวลาเหลือมากพอ
ที่จะเดินให้ครบระยะทาง 5 กิโลเมตรของเขตนี้ ซึ่งตลอดระยะทาง 5 กิโลเมตรของถนนสายนี้ เต็มไปด้วยความคึกคักในทุกจุดทุกร้านค้าให้แกได้แวะดูของฝากน่ารักน่ารัก
แวะถ่ายรูปกับแลนด์มาร์คสวยสวย หรือว่าเก็บภาพบรรยากาศข้างทาง
ที่ดูแปลกตากันจนขาเปลี้ยเพลียแรง
แต่ก็มีอาหารและขนมหวานให้เติมพลังงานข้างทางอยู่ตลอด
เอาเป็นว่าถนนสายนี้ครบเครื่องและสนุกมากกกกกจริงๆ
วัดคิโยมิสึ
และอีกหนึ่งไฮไลท์หลักของย่านนี้ที่แกควรจะแวะขึ้นไปดูก็คือวัดคิโยมิสึ
หรือวัดน้ำใสที่นี่เป็นวัดเก่าแก่และมีอายุมากกว่า 1000 ปี
ตัววิหารเองแม้จะถูกคุกคามหนักจากอัคคีภัยอยู่หลายครั้ง
แต่ก็ได้รับการบูรณะให้กลับมาสวยงามดังเดิม
จนได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี1994 และด้วยความที่วัดนี้อยู่บนเนินเขาสูง
ทำให้เราสามารถมองเห็นวิวเมืองหลวงตัดกับย่านเมืองเก่าได้ชัดเจนที่สุด
ส่วนถ้าอยากจะดูให้ลึกกว่านี้ก็สามารถซื้อตั๋วแล้วเข้าชมภายในจะได้ไปพิสูจน์กันว่า
มรดกโลกชิ้นนี้สวยงามเพียงใด
ยืนชมเมืองจากมุมสูงจนแดดเผาไปเกือบจะครึ่งหน้า
เราก็ต้องหาอะไรเย็นๆมาเพิ่มความฟินกันสักหน่อย
ที่หน้าทางเข้าของวัดจะมีร้านโฟลทปั่นอยู่
จริงๆมันก็มีร้านเครื่องดื่มเย็นๆอยู่หลายร้านนะ
ทั้งชาเขียว ไอศครีมนมสด หรือแม้แต่แตงกวาเสียบไม้
ที่เราก็ไม่รู้ว่ามันอร่อยยังไงและก็ยังไม่อาจหารลองด้วย
แม้จะเห็นเด็กเด็กชาวญี่ปุ่นหลายคนก็ถือติดไม้ติดมือกันมาเพียบเลยก็ตาม
ใครลองแล้วมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังกันบ้างนะ
แต่เราก็อยากกระซิบบอกว่าโค้กโฟลทกับฤดูร้อนเป็นอะไรที่ลงตัวเหมือนช้อนกับส้อมเลยล่ะ
ศาลเจ้ากระต่าย
ห่างมาอีกนิดก็จะได้ชิดความน่ารักขึ้นมาอีกหน่อย Higashi Tennou Okazaki-jinja Shrine
ศาลเจ้าเล็กๆที่แสนจะน่ารักเพราะนี่คือตัวแทนจากดวงจันทร์ ศาลเจ้ากระต่าย
ที่มองไปทางไหนก็มีแต่กระต่ายตัวน้อย กระต่ายตัวกลาง
กระต่ายตัวใหญ่อยู่แทบทุกจุดของศาลเจ้า
ก่อนจะเข้าไปไหว้เลยอดไม่ได้ที่จะเสียเวลากับการถ่ายรูปไปหลายนาที
หวังว่าท่านเทพผู้น่ารักจะไม่รู้สึกว่าเราเสียมารยาทนะ สาธุ 99จ้า
โดตมบุริ
เที่ยวย่านเมืองเก่ายังเกียวโตจนหนำใจเราก็นั่งJR 30 นาที
แบบเพลินๆก็มาถึงโอซาก้าเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ
ที่เราจะพาทุกคนไปบุกตะลุยกินกันให้พุงกาง
ให้สมกับที่เราได้มาบุกครัวของญี่ปุ่น
จะมีที่ไหนบ้าง จะอร่อยเด็ดจริงหรือไม่
จะคุ้มค่าความอ้วนที่เพิ่มขึ้นหรือเปล่า
ล้างท้องแล้วเตรียมเช็คลิสต์ รอไว้ได้เลย
ย่านแรกที่เราจะไปตะลุยกันคือย่านดังอย่างโดตมบุริ
ย่านเดียวกับที่คุณลุงกูลิโกะยืนสง่าท้าทุกสายตามายาวนานนั่นล่ะ
ย่านนี้บอกเลยว่าของจริงอร่อยๆหาง่ายยิ่งกว่าแทกซี่ที่พร้อมรับผู้โดยสารหลายเท่านัก
และร้านแรกที่โดดเด่น แหวกทุกสายตาก็คือ ร้านขาปูยักษ์ในตำนานตั้งอยู่ตรงหัวมุมริมคลองเป๊ะเป๊ะ
ที่ชื่อว่าKani Doraku ซึ่งมีเมนูอาหารเกี่ยวกับปูยักษ์มากมายหลาย 10 เมนู
และการจะเข้าไปนั่งกินทีก็ควรจะจองเอาไว้ก่อนไม่งั้นอาจต้องรอนานหลายชั่วโมง
แต่ถ้าใครอยากกินแบบกรุบกริบฉาบฉวย
ก็สามารถซื้อขาปูยักษ์และมันปูที่ย่างอยู่ในกระดองกินที่หน้าร้านเลยก็ฟินส์ไม่แพ้กัน
มันโปรของที่นี่สามารถเลือกได้ว่าจะใส่ซุปมิโสะรึเปล่า
ถ้าใส่ มันปูจะใสๆฟีลซุป แต่คงรสของมันปูอยู่นะ กินละลื่นคอมาก งานดี งานยกซดอ่ะ บอกเลย
ลื่นคอกันไปแค่เมนูแรกก็กระตุ้นต่อมความอยากของเราให้พุ่งถึงขีดสุดในบัดดล
เมนูต่อไปจึงตามมาแบบติดๆกับร้าน Odori dako
ร้านทาโกะยากิที่โดดเด่นแม้ในหมู่ร้านทาโกะยากิชื่อดังด้วยกันเอง
เพราะแทนที่จะใส่ชิ้นส่วนของหนวดปลาหมึกยักษ์
กรณีกลับเลือกใส่ปลาหมึกมาให้เราชิ้นละตัวไปเลยจ้า
สนนราคา 10 ชิ้น 900 เยน ทาโกะยากิร้อนร้อนลูกโต
สอดไส้แป้งหอมหอมนุ่มนุ่ม และปลาหมึกตัวโต พอดีคำแบบอ้ากว้างงงงง
เคี้ยวๆให้เคล้ากับซอสทาโกะ มายองเนส ปลาหมึกแห้ง
อื้อหือออออ แกเอ๊ยยยยย โคตรดี โคตรคุ้ม โคตรอร่อย
แถวยาวแค่ไหนก็ไปรอเถอะ มันคุ้มจริง จริง จริง ว่าแล้วก็ หาตั๋วโปรไปตระเวณกินอีกสักรอบดีกั่ว
ของขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นที่ไม่ว่าจะไปเมืองไหนก็ขาดไม่ได้เลยกับสิ่งนี้ “ราเมน” ที่มีให้เลือกหลายรสหลายชาติ หลายแบบหลายอย่างแต่ละเมืองก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่ซ้ำกันออกไป แต่ที่โดดเด่นเป็นอันดับต้นต้นของเมืองโอซาก้าก็เห็นจะเป็น Ichiran Ramen หรือราเมนข้อสอบ ที่ใครใครก็รวนตกหลุมรักในความเข้มข้นของน้ำซุป และความเหนียวนุ่มของเส้นราเมน ที่สามารถเลือกได้เองไม่ว่าจะเป็นปริมาณกระเทียม ระดับของความเผ็ด ความเข้มข้นของน้ำซุป ความเหนียวของเส้นทำให้ต่างถูกอกถูกใจตามสไตล์ของแต่ละคนที่ สำคัญยังมีกิมมิกกิ๊บเก๋อยู่ที่ โซนที่นั่งแบบทำข้อสอบที่จะแบ่งเป็นช่องช่องกันการลอกเมนูกันและแผ่นเมนูก็จะเหมือนกับเรากำลังทำข้อสอบยังไงยังงั้น มี stories เก๋ไก๋อย่างนี้ถึงได้โดนใจสายโซเชียลอย่างเรา จนต้องซื้อแบบสำเร็จรูปกลับไปฝากคนที่บ้านหลายห่อเลยแหละ
ใครสายเนื้อมากองรวมกันตรงนี้เลยจ้าาาาา มาญี่ปุ่นกี่รอบกี่รอบก็ต้องยอมควักตังค์ให้กับเนื้อชั้นดีที่ราคา แสนแพง แต่ก็สุดจะคุ้มค่า และร้านนี้บอกเลยว่าถ้าเราได้มาโอซาก้าอีก ก็จะต้องมาจัดแบบซ้ำๆซ้ำๆให้ได้…สัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ไปเล้ย ที่นี่คือร้าน Zen Numba Sennichimae ร้านที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านนัมบะมีทั้งแบบบุฟเฟ่และ A La Carte แน่นอนว่าอย่างเราจะไปกลับเมนูบุฟเฟ่แน่นอนจ้ะ ซึ่งเขาก็มีให้เลือกทั้งแบบยากินิขุกับแบบชาบู ที่สามารถกินได้แบบไม่อั้นในเวลา 90 นาทีเริ่มต้นที่ 3000 เยนยังไม่รวมแท็ก ในร้านจะแบ่งเป็นห้องห้องซึ่งส่วนตัวและ private มาก พนักงานก็บริการดีและทั่วถึง ส่วนคุณภาพเนื้อนั้นนุ่มมมม เข้มข้น ลายสวยเป๊ะทุกจาน เขียนไปน้ำลายจะไหลลงจอแย้วววว เนื้ออื่นๆก็ดีหม่แพกันนะ มี เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อปลา ปลาหมึก ไส้กรอก คือดีทุกอย่างแบบมากๆ คุ้มราคาแบบสุดๆ เครื่องเคียงอื่นๆก็หลากหลาย มีซุป มีข้าว มีสลัด ผักสด เห็ด สาหร่าย ฯลฯ และย้ำกันอีกครั้งว่าดีจริงๆ น้ำจิ้มมี3แบบ มีน้ำส้มสายชู และน้ำมะนาวให้ปรุงเพิ่มอีก ปิดท้ายมื้อด้วยขนมหวานฟรีคนละ1อย่าง เราเลือกทิรามิสุ กับพุดดิ้ง ที่ดีงามจนอยากซื้อแยกกลับบ้านทั้งคู่ ส่วนน้ำดื่มต้องจ่ายเพิ่มอีก500เยน เลือกได้หลายอย่าง และเปลี่ยนได้ ยกเว้นที่มีแอลกอฮอล์ กลับลงมาคือกลิ้งกลับห้องอ่ะ และนอนหลับเป็นสุขมาก T T ซาบซึ้งในความอร่อยจนบัดนี้
นอกจากของคาว ของหวานก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้ และมีหลายอย่างให้เลือกมากๆ
ส่วนเราขอเลือกชูครีมในย่านโดตมบุริที่เค้าอบขนมปังใหม่ๆหอมๆโรยน้ำตาลเกร็ดบางๆ
ทำให้ด้านนอกมีความกรุบ กัดลงไปก็จะเจอไอศกรีมวนิลาหวานๆเย็นๆ
เป็นเทกเจอร์ที่ชวนให้เคี้ยวเพลิน และหมดอย่างรวดเร็วจริงๆ
อีกหนึ่งเมนูซิกเนเจอร์ของเมืองโอซาก้าคือเมนูเสียบไม้ทอดที่จะมีน้ำจิ้มสีน้ำตาลเข้มให้เราจิ้มทานคู่กับกะหล่ำชิ้นโต ร้านแบบนี้มีให้เลือกแบบร้านต่อร้านติดกันเป็น10ร้านแต่ที่โด่งดังเป็นอันดับต้นต้นก็คือร้าน Kushikatsu Daruma ที่แค่ในย่านนี้ ก็มีให้เลือกถึงสามสาขาด้วยกัน จุดสังเกตง่ายง่ายของร้านนี้คือจะมีรูปปั้นของผู้ชายหน้าตาถึงขัง ใส่เสื้อสีครีมกางเกงสีดำกำลังยืนเอามือไขว้กันคล้ายกอดอก ตอนแรกเราผู้มาจากประเทศที่เฟื่องฟูเรื่องของทอดก็คิดว่าความอร่อยก็คงจะคล้ายแบบที่เคยเคยกินที่บ้านเรา แต่แกที่นี่เค้าทอดมาดีมากๆอย่างเมนูผักตัวผักก็ยังสดและคงความกรอบเหมือนไม่ได้โดนความร้อนเลยแป้งก็กรอบและไม่อมน้ำมันแม้แต่ไม้เดียว เมนูเนื้อสัตว์เนื้อก็ยังชุ่มฉ่ำจุ๊ยซี่แบบฝุดๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมร้านนี้ถึงแน่นไปด้วยคนญี่ปุ่นและชาวต่างชาติแถมแต่ละคนก็มีไม้เปล่าอยู่ตรงหน้าเป็น 10 ไม้ต่อคนเลยล่ะ
ตลาดคุโรมง
ยังคงตะลุยกินกันแบบไม่หยุดยั้งกับเหล่าอาหารขึ้นชื่อของเมืองโอซาก้า
ที่ต่อไปเราไปกันที่ตลาดคุโรมง Kuromon market
ตลาดปลาย่านใจกลางเมืองที่แม้จะเป็นซอยเล็กๆแต่ก็ยาว
และบรรจุร้านค้าไว้กว่า 160ร้าน
มีอาหารมากมายให้เลือกทานทั้งอาหารสด อาหารแห้ง อาหารทะเล
เนื้อย่าง ของหวาน ผลไม้ในราคาถูกมากกกกก
เปิดให้บริการตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น
ใครมาโอซาก้าแต่ไม่แวะตลาดนี้ขอบอกเลยว่าพลาดมากๆ
แต่ละร้านในตลาดก็จะมีการจัดวางอาหารของดีของเด็ดของตัวเอง
ไว้เป็นดิสเพลย์ที่แค่เดินผ่านก็อยากจะเอามือรวบกินมันซะให้หมด
ไม่ว่าจะเป็นปลาดิบชินโตที่เหลือดูแวววาว
ขาปูไซด์ยักษ์ในราคาแสนถูก
มันปูหอมกรุ่นที่ย่างสดๆร้อนร้อนบนเตาถ่าน
หอยเม่นสีส้มสดที่เหมือนดอกไม้กำลังแย้มกลีบสวย
หอยนางรมตัวใหญ่กว่าฝ่ามือที่เนื้ออวบเด้งชวนฝัน
เนื้อย่างเกรดเอ5ลายงาม กุ้งหวานตัวโตเนื้อเด้ง …
เที่ยวฟินกินจุกในครั้งนี้ของเราบอกได้เลยว่ามันครบรส
และแสนจะซาบซึ้งน้ำตาจะไหลขอแชร์ได้มั้ยคะมากๆเลย
ซึ่งนี่ก็เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความสนุกสนานในญี่ปุ่นที่นี่ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย
ที่เราอยากจะเล่าให้ฟังแต่สำหรับญี่ปุ่นรอบที่สี่ของเรานั้น
ก็ทำให้เรารู้สึกว่าถ้าต้องมีรอบที่ 5 6 7 8 เราก็ไม่มีทางเบื่อแน่นอน
คงจะยิ่งมีแต่ตกหลุมรักเหมือนใครหลายหลายคน
แล้วแกล่ะญี่ปุ่นเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว
ถ้ายังไม่เริ่ม เราแนะนำให้ เริ่มค่ะ!!!!
เพราะเดี๋ยวนี้ญี่ปุ่นเที่ยวง่ายค่าใช้จ่ายไม่ได้แพงเหมือนแต่ก่อน
โดยเฉพาะถ้าบินกับแอร์เอเชียที่มักจะมีราคาดี๊ดี
หรือโปรโมชั่นแสนถูกมายั่วใจกระเป๋าตังค์ในกระเป๋ากันแบบรัวรัว
งานนี้ใครใครก็บินได้ของจริง
และไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่นในฤดูไหนก็มีเรื่องราวสุดประทับใจ
ให้แกได้เก็บเป็นประสบการณ์อย่างแน่นอนเอาล่ะtagเพื่อน tagแฟน
แชร์แพลนไว้ก๊อบ จัดพร้อบแล้วตามมาค่าาา
ด้วยรัก
บันทึกคนขี้เที่ยว