บินไปสุโก้ย สัมผัสลมหนาวแบบหน้าชา เริงร่าไปกับการเที่ยวและพักผ่อนให้หายเหนื่อยสมกับที่ขยันทำงานมาทั้งปี รอบนี้เราบินไปลงคันไซ เที่ยวโอซาก้าแบบพอกรุบกริบแล้วไปจัดเต็มกับย่านนอกเมืองรอบๆ เกียวโตกับ 4 ย่านเต็มอิ่ม ทั้งเที่ยว ช้อป ชิม แบบไม่ยั้งทั้งออกไปเยี่ยมหมู่บ้านน่ารัก สัมผัสวิถีชนบท ขอพรศาลเจ้าแห่งสายน้ำ เสี่ยงเซียมซีล่องหนเมืองริมทางรถไฟ แล้วไปตะลุยย่านราเมน เที่ยวเล่นเมืองแห่งการเกษตรกรรม แล้วมาย้ำย่านเกอิชาก่อนนั่งรถด่วน Haruka เข้าโอซาก้าแล้วบินกับไทยแบบน้ำตารื้นเพราะจุกความสุขแบบล้นเอ่อ
ไฮไลท์ของทริป
สถานที่ : Miyama Kayabuki-no-Sato
พิกัด : https://goo.gl/maps/BQwWCq5LZLgDqmzu5
ไฮไลท์ของทริป
สถานที่ : Kifune Shrine
พิกัด : https://goo.gl/maps/8WxNT33QriuMXiKz6
ไฮไลท์ของทริป
สถานที่ : Osaka Castle
พิกัด : https://goo.gl/maps/T8qoBtsBY6nfj6Ac6
Day 1 half day in Osaka
เราชอบการบินมาลงคันไซเพราะว่านอกจากสนามบินจะดีงาม มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ การเดินทางเข้าออกสนามบินก็สะดวกแล้วนั้น รู้ทนี้ยังทำให้เราเลือกเที่ยวได้หลายเมือง เท่าที่อยากจะไป บางทีอยากมาเที่ยวแบบยาวๆ ก็จัดแพลนเที่ยวโอซาก้า นารา โกเบ เกียวโต ทาคายาม่า ไปจนถึงไปชิราคาวาโกะได้
อย่างรอบนี้เราก็ลงคันไซแวะเช็คอินในโอซาก้าสัก 2 ที่ เพราะยังพอมีเวลาก่อนเข้าเกียวโต ก็มาทั้งทีเนอะ ก็ต้องเที่ยวแบบคุ้มๆ สักหน่อย
สำหรับการเดินทางจากสนามบินคันไซเข้าไปในโอซาก้านั้นง่ายและมีหลายวิธีมาก เอาที่สะดวกเลย ไม่ว่าจะเป็น นั่งรถไฟ ที่มีทั้ง JR และ Nankai
– JR Haruka Limited Express
รถไฟด่วนขบวนพิเศษ ที่นั่งกว้าง มีที่เก็บกระเป๋า สถานีสำหรับโอซาก้าแต่จอดแค่ 2 เท่านั้น
คือ สถานี Tenoji และ Shin-Osaka และสถานีถัดไปคือ สถานีเกียวโตเลย เร็วมากสะดวกสบาย มีทั้งแบบจองที่นั่งและไม่ต้องจองที่นั่ง
-รถไฟด่วนธรรมดา JR Kansai Rapid Train
จะเป็นรถไฟธรรมดาที่วิ่งรับส่งเกือบทุกสถานีระหว่างทาง ราคาจะสบายกระเป๋าหน่อย
-รถไฟด่วนพิเศษ หัวอัศวิน Nankai Rapit คล้ายกับขบวน Haruka ของ JR แต่ทุกที่นั่งจะเป็นแบบ Reserved มีที่ขายอาหารเครื่องดื่ม มีห้องน้ำ และมีที่ว่างกระเป่า จากสนามบินคันไซ ไปที่สถานีรถไฟ Namba ในตัวเมืองโอซาก้า ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
-รถไฟด่วนพิเศษ Nankai Airport Express เป็นรถไฟแบบด่วนธรรมดา จะคล้ายกับกับรถไฟด่วนธรรมดาของ JR คือจะจอดหลายสถานีที่ผ่าน จึงใช้เวลานานกว่า แต่ราคาถูกกว่าด้วยเช่นกัน หรือจะเป็น นั่งรถบัส Airport Limousine bus จากสนามบินคันไซ
วิธีนี้เหมาะกับคนพกสัมภาระมาเยอะๆ และไม่อยากเดินในสถานีรถไฟไกลๆ ขึ้นลงบันไดไม่สะดวก เพราะลีมูซีนมักจะผ่านหน้าโรงแรมที่จองไว้เลย แต่ก็ใช้เวลานานกว่ายิ่งถ้าช่วงเวลารถติดจะควบคุมเวลายาก กว่านั่งรถไฟ
ป้ายหนุ่มกูลิโกะ
เพียง 3 นาทีจากสถานีนัมบะ เราก็ได้เจอย่านโดตมบุริที่ใครๆก็ต้องมาเช็คอินเมื่อมาโอซาก้า
และถ้าไปเชียงใหม่ไม่ได้ไปถนนท่าแพแปลว่ามาไม่ถึงฉันท์ใด
มาโอซาก้าไม่ได้ถ่ายรูปกับป้ายไฟกูลิโกะก็แปลว่ามาไม่ถึงฉันท์นั้น
เพราะนี่คือป้ายไฟสร้างขึ้นมาจากหลอดไฟ LED นับแสนดวงที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของโอซาก้า มีชื่อจริงๆ ว่า Glico Man Billboard รุ่นที่ 6 ตั้งเด่นอยู่ริมแม่น้ำ Dotonbori
ตรงสะพานอิบิซึบาชิ (Ebisubashi Bridge) เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เราก็รู้ตัวทันทีว่านับตั้งแต่นี้ไป เราจะได้ชิมของอร่อยมากมายของย่านนี้อีกเพียบ
พิกัด : https://goo.gl/maps/HoyDprzENotovuYu7
Uoshin Minami 魚心 ซูชิหน้าล้น
มาถึงโอซาก้าทั้งที ไม่จัดซูชิก็คงไม่ได้ และร้านสุดเลิฟที่ไม่ไกลจากพ่อหนุ่มกูลิโกะก็คือ
ร้านซูชิหน้าล้นอ้าปากกว้างเบอร์สุดในราคาน่ารัก
กินอิ่ม สด รสชาติดี ราคาประหยัด สด สะอาด หวานฉ่ำ
มาพร้อมกับราคาที่ถูกจนเหลือเชื่อ
เช่น ซูชิหน้าอูนิทั้งเซตนี้ ราคาเพียง ¥1,400 หรือประมาณ 410 บาท คุ้มมากกกกก
ได้ 4 คำ แบบอูนิล้น ๆ มาเลย หวานมันมาก ใครเป็นสาวกอูนิแบบเราคิดร้องไห้แล้ว
พิกัด : https://goo.gl/maps/Qy9CPMwRHatZAkT3A
Day 2
Miyama Kayabuki-no-Sato
หลังจากเที่ยวโอซาก้าพอกรุบกริบและอิ่มจนหนังท้องตึงเปรี๊ยะกันแล้ว เราก็ออกเดินทางออกจากสถานีโอซาก้าด้วยรถไฟขบวนด่วนพิเศษ (Special Rapid service) สายเกียวโต (Kyoto Line) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็ถึงเกียวโต มานอนพักแบบเต็มอิ่มในคืนแรก
เพื่อเช้าวันที่สองเราจะไปชมหมู่บ้านน่ารักอย่างกับเมืองในฝันทั้งวันแบบเต็มที่
นั่นก็คือ Kayabuki-no-Sato หมู่บ้านเล็กๆ ใกล้ชิดธรรมชาติ และยังคงความเป็นชนบทแบบญี่ปุ่นแท้ๆ
ที่แสนจะน่ารักและมีเสน่ห์ ที่เราเองแค่ได้เห็นเพียงรูป ก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าต้องมาที่นี่ให้ได้
เรื่องการเดินทางนั้น เราจองที่นั่งรถทัวร์จาก http://www.keihankyotokotsu.jp/…/sonobemiyama/english.html
การจองก็ไม่ยุ่งยากเพราะมีภาษาอังกฤษ สามารถจ่ายด้วยการตัดผ่านบัตรเครดิต โดยรถจะออกจากเกียวโตตอนเช้า และกลับตอนเย็น สะดวกมาก
ข้อมูลเพิ่มเติม : https://kyotomiyama.jp/en/
พิกัด : https://goo.gl/maps/BQwWCq5LZLgDqmzu5
ก่อนเข้าหมู่บ้านเราก็ได้เจอกับตู้ไปรษณีย์สีแดงเด่นตระหง่าน ซึ่งเป็นตู้หลักของหมู่บ้านนี้คอยต้อนรับทุกคนอย่างที่เราบอกแหละว่าสำหรับ Kayabuki-no-Sato คือหมู่บ้านที่แม้จะอยู่ห่างจากเมืองเกียวโตถึง 30 กิโลเมตร แต่เพียงเราเห็นรูปไม่กี่ใบ เราก็มุ่งมั่นแน่วแน่ว่าจะต้องมาเยือนให้ได้ ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นชุมชนชนบทอย่างแท้จริง ยังคงวิถีชีวิตยังคงเป็นแบบดั้งเดิม คือใช้หลังคามุงจากในการสร้างบ้านเรือน ที่เรียกกันว่ากระท่อมแบบคายาบูกิ
และยังคงรักษาวัฒนธรรมการแต่งกาย การประกอบอาชีพดั้งเดิมไว้
การได้มาที่นี่จึงเป็นเหมือนญี่ปุ่นที่ถูกหยุดเวลาไว้ ให้เราได้สัมผัสชีวิตน่ารักๆ
การมาเที่ยวที่นี่จึงเหมือนการเดินทางทวนกระแสทุนนิยมเพื่อหวนคืนสู่
ความเป็นธรรมชาติที่หาได้ยากจริงแล้วในปัจจุบัน
แค่ได้เดินทอดน่องเรื่อยๆ เข้ามาในหมู่บ้าน เดินไปเพลินๆ ในถนนเส้นนั้นเส้นนี้ แวะร้านนั่นนี่ ขอพรที่ศาลเจ้าก็ได้รู้สึก ถึงความเป็นญี่ปุ๊น ญี่ปุ่นแบบไม่ต้องกลัวจะซ้ำใคร และอีกอย่างที่ไม่ควรพลาดคือ ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ที่ภูเขาหลังหมู่บ้านเป็นฉากหลังถ่ายรูปที่เลิศมาก
และสิ่งที่เรารักมากๆ คือที่นี่ยังคงมีวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมให้เราได้เห็นกันอยู่
อย่าง บ้านหลังคามุงจาก การทำไร่ทำสวน การเดินทางโดยใช้จักรยานเป็นหลักจริงๆ ทำให้ทุกๆ ที่ที่เราเดินผ่าน เราจะเห็นคุณลุงเก็บผักจากแปลงไปทำอาหาร เห็นคุณป้าปั่นจักรยานไปรอบหมู่บ้าน คุณพี่ คุณอาอบขนมออกมาวางขายหน้าบ้านกลิ่นหอมหวลไปทั่ว
Cafe Milan
ถ้าเดินขึ้นเนินไป เกือบสุดทางเราก้จะได้เจอกับคาเฟ่สงบๆ ที่เปิดประตูเข้าไปมีกลิ่นตลบของพุดดิ้งไข่และขนมปังอบร้อนไปทั่วทั้งร้าน
เราเองก็เดินเล่นจนเพลินแล้ว จึงขอแวะพักที่นี่สักหน่อยแล้วกัน
พิกัด : https://goo.gl/maps/CsFKKYLs8fLMTAWa9
ว่ากันว่ามาถึงที่นี่ต้องไม่พลาดที่จะสั่งไอศครีมมิยามะและพุดดิ้งไข่สูตรเฉพาะของคาเฟ่และเป็นเมนูที่ขายดิบขายดี เราเองก็เช่นกัน นอกจากกาแฟแล้ว เรายังไม่พลาดที่จะสั่งสองเมนูนี้มาลองด้วย นอกจากนี้ในร้านยังมีของที่ระลึก โปสการ์ด ของกระจุ๊กกระจิ๊กน่ารักวางขายด้วยนะ อ้อออ แม้แต่ไข่ไก่สดจากฟาร์มก็มีขายนะ ไม่แปลกใจที่ร้านนี้จะมีพุดดิ้งไข่ที่แสนอร่อย
Kamakura Shrine
ดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบๆ หมู่บ้านจนจุใจ เราก็ตัดสินใจเดินตามป้ายมาที่ Kamakura Shrine เป็นการเดินขึ้นเนินยืดเส้นยืดสายนิดหน่อยไม่ถึงหนึ่งนาทีเราก็จะเจอ
ศาลเจ้าเล็กๆ ของหมู่บ้าน บนยอดเขาเล็กๆ ซึ่งก็คุ้มกับการสละพลังงานของร่างกาย
เพื่อไปขอพรและชมวิวมุมสูงของหมู่บ้าน เก็บภาพบรรยากาศความประทับใจแบบสุดสายตา
พิกัด : https://goo.gl/maps/fhQApGfZoz95iN559
วิวด้านบนหน้าศาลเจ้านี่ดีจริงๆ
Pizza&Cafe Kajikano
หลังจากลงมาจากศาลเจ้า เราก็รู้ตัวทันทีว่าพลังงานของมื้อเช้าใกล้จะหมดแล้ว ก็ต้องเติมพลังกันหน่อย ระหว่างที่เดินโซซัดโซเซไส้แทบกิ่วเราก็ได้เจอกับร้านพิซซ่าเตาถ่านที่ทำสดๆ รอรับเราอยู่เหมือนได้เจอโอเอซิสกลางทะเลทรายเลยล่ะ
พิกัด : https://goo.gl/maps/UcwCQETJEcJ999GM9
Kichinojo Bakery
ก่อนที่เราจะไปศาลเจ้าหลักของหมู่บ้าน เราก็ออกนอกเส้นทางเพราะกลิ่นหอมโชยของเบเกอรี่ร้านนี้ทำให้เราอดใจไม่ไหวต้องแวะไปจิ้มสักชิ้นสองชิ้น
พิกัด : https://goo.gl/maps/uDiFwge5SvymJhnN8
โอ้ยยยยย เบเกอรี่ที่นี่ไม่เหมือนที่เคยกินที่ไหนเลย มันมีความหนุบหนับของแป้ง เหมือนกินขนมปังฝรั่งเศสแต่เป็นเบเกอรี่ทั่วไป มันอร่อยจริงๆ นะ
Tomoihachiman Shrine
นั่งกินขนมอบที่ร้านเบเกอรี่ล้างปากจนหมดเกลี้ยงเราก็ไม่รอช้าเดินไปจุดต่อไปนั่นก็คือศาลเจ้าหลักของที่นี่ ชาวบ้านเชื่อว่าพลังของศาลเจ้านี้จะช่วยขับไล่วิญญาณร้ายและนำความสุขมายังทุกๆ ครอบครัวในหมู่บ้าน
พิกัด : https://goo.gl/maps/QtHu4K1K43kb5vu3A
แม้ว่าอากาศจะหนาวแค่ไหน แต่สายหวานแบบเราก็อดไม่ได้เลยที่จะต้องสั่งไอติมมาฟินท้าความหนาว เราลืมบอกไปว่า ที่เมืองนี้มีฟาร์มโคนมและมีนมเป็นสินค้าอีกอย่างของหมู่บ้าน ดังนั้นไอติมที่เราได้กินก้เป็นซอฟต์เสิร์ฟสดจากนมของเมืองด้วยนะ
พวกของฝ่งของฝากที่นี่ก็น่ารักตะมุตะมิไม่แพ้ที่อื่นนะ
Day 3 Kibune and Pontocho
Kifune Shrine
วันที่ 3 ของทริปแล้ว เรานั่งรถไฟมาที่ Kibuneguchi Station จากนั้นนั่งบัสต่อที่สถานีไปสุดสาย เพื่อพบกับ Kifune Shrine ศาลเจ้าของเทพเจ้าแห่งน้ำที่ถ้าหลายคนได้เห็นรูปแล้วต้องร้องอ๋อ เพราะศาลเจ้านี้มีจุดถ่ายรูปเด็ดตั้งแต่ทางขึ้นศาลที่มีเสาเล็กๆ ด้านบนวางโคมไฟสามเหลี่ยมที่คล้ายๆ ศาลเจ้าเล็กๆ อยู่ตลอดทาง
Kifune Shrine มีอายุกว่า 1,600 ปี โดยมารดาของปฐมกษัตริย์แห่งญี่ปุ่นที่ต้องการสร้างศาลเจ้า ขึ้นซักแห่งหนึ่งโดยใช้วิธีการล่องเรือไปตามแม่น้ำและเมื่อตรงไหนที่เรือหยุดเป็นจุดสุดท้าย จะถูกเลือกให้เป็นที่ตั้งของศาลเจ้า และมันก็มาหยุดอยู่ที่เมืองเกียวโตนี่เอง ที่นี่เลยได้ฉายาว่าศาลเทพเจ้าแห่งน้ำไงล่ะ ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้เหล่าเจ้าของกิจการที่เกี่ยวกับน้ำไม่ว่าจะเป็น เหล้า น้ำชา ราเมน นิยมมาไหว้ รวมไปถึงผู้ที่ต้องการขอเรื่องความรักที่นี่ก็โด่งดังไม่แพ้กัน
พิกัด : https://goo.gl/maps/8WxNT33QriuMXiKz6
ภายในบริเวณศาลเจ้ามีที่ให้ชมมากมาย แต่จุดที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์มากที่สุด
ก็คือ Sacred Water บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเกิดจากธารน้ำใสสะอาดบนยอดเขา Kibune
ที่เราสามารถตักดื่มเพื่อดับกระหายและอธิฐานให้สมปรารถนาได้ และอีกอย่างคือ Fortune by Water ความน่ารักที่เราอยากให้ทุกคนได้ลอง นั่นก็คือการเสี่ยงทายโดยใช้สายน้ำ เริ่มจากซื้อใบเซียมซีที่จุดขายข้างๆ บ่อน้ำ ที่มีทั้งเซียมซี เครื่องดื่มและเครื่องรางมากมาย
แล้วเราก็เอาเซียมซีที่ว่างๆ ไม่มีตัวหนังสือมาหย่อนลงในอ่างเล็กๆ ที่รับน้ำมาจากน้ำตกที่ไหลมาจากยอดเขา
รอแปปเดียวไม่เกิน 2นาที เมื่อน้ำซึมเข้าสู่กระดาษ เราจึงจะเห็นคำพยากรณ์ที่เกี่ยวกับการงาน ความรัก สุขภาพ และความปรารถนา ปรากฎขึ้นมา แม้ว่าจะคำทำนายจะเป็นภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ต้องห่วงเพราะทุกแผ่น มีคิวอาร์โค้ดให้เราได้สแกนผ่านแอปพลิเคชันที่จะแปลคำพยากรณ์ออกมาเป็นภาษาอื่นๆ ได้ ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาเกาหลี รวมถึงมีคำพยากรณ์แบบเสียงแนบมาให้ด้วยนะ
ก่อนจะกลับไปสัมผัสยมเย็นที่แม่น้ำ Kamo แถวที่พัก เราก็ต้องขอพาไปเดินเล่น
ย่านถนนด้านหน้าศาลเจ้า เส้นทางที่ชิวเกินเบอร์ที่ทำให้เราเดินเล่นจนเพลินจนเกือบลืมเวลา
เพราะถนนเล็กๆ ริมน้ำเส้นนี้ทั้งน่ารัก และให้ความรู้สึกแบบญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
ช่วงที่เรามา ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีเริ่มมีสีเหลือง ปนส้มสลับแดงบ้างแล้ว
ไม่อยากจะคิดเลยว่าช่วงใบไม้แดงไปทั้งเมืองจะสวยงามขนาดไหน
และหากมาช่วงฤดูร้อนก็สามารถนั่งชิวเล่นที่กลางแม่น้ำ Kibune River
แม่น้ำที่ไหลจากบนยอดเขาเข้าสู่ย่านชุมชน
ที่เราสามารถลงไปนั่งกลางแม่น้ำฟังเสียงนก เสียงไม้ เสียงน้ำ
เสียงธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ซึ่ง Exclusive สำหรับฤดูร้อนเพียงฤดูเดียวเท่านั้น
นอกจากความศรัทธาและความสวยงามแล้ว สิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อได้เดินเที่ยวท่ามกลางลมเย็นๆ แบบนี้ ก็คือการนั่งเคี้ยวดังโงะร้อนๆ จิบชาอุ่นๆ ฟังเสียงลมเสียงน้ำเพลินๆ มันช่างเข้ากันมากจริงๆ
ถึงเวลาต้องกลับกันแล้วเพราะเย็นนี้เรามีโปรแกรมจะไปบอกลาพระอาทิตย์กันที่ริมแม่น้ำ Kamo และเดินเล่นย่าน Pontocho
Pontocho & Kamo river
ย่านริมแม่น้ำยามเย็นเป็นเหมือนแหล่งนัดพบ แหล่งรวมตัว และแหล่งดินเนอร์ชั้นดีของชาวเกียวโต ทั้งวัยรุ่นและวัยทำงาน
แม้จะอยู่ใจกลางเมืองแต่ก็มีความน่ารักและสงบท่ามกลางความวุ่นวายทั้งหลายแหล่
พิกัด : https://goo.gl/maps/Dtci8Ug5xbwdDGLL7
บรรยากาศริมแม่น้ำ Kamo ยามเย็นคืออะไรที่เราชอบมาก หนุ่มสาวมักจะมานั่งกระหนุงกระหนิงกันริมแม่น้ำ มีมาเล่นดนตรีเปิดหมวกบ้าง นั่งบอกลาแสงเย็นของวัน แล้วเดินไปจัดมื้อเย็นให้สะใจก่อนกลับห้องไปนอนให้หลับฝันดี
Day 4 Sightseeing Spot Along the EIZAN Railway
Ichijoji Station
สำหรับใครที่อยากได้ที่เที่ยวในเกียวโตที่ยังมีความเมืองและสงบอยู่ในที่เดียวกัน
เราขอแนะนำให้ลองเที่ยวตามเส้นทาง EIZAN Railway โดยนั่งรถไฟไปยังสถานีอิชิโจจิ (Ichijoji) ย่านที่ว่ากันว่าเป็นที่อยู่ของคนเกียวโตโลคอลเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เราจะได้สัมผัสความออริจินอลเจแปนนิสเต็มๆ แน่ๆ เราเริ่มเดินเล่นตลอดสองข้างทางของถนน Manjuin ที่อยู่ติดกับสถานีอิชิโจจิ ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและคาเฟ่สุดน่ารัก แน่นอนว่าหากใครที่อยากมีวันว่างว่างแบบชิวๆ ก็ลองมาเดินเล่นที่นี่กันได้ สำหรับเราเอง เราขอยกวันนี้ทั้งวันให้กับย่านนี้ไปเล้ยยยยยยย
Pan nochi Hare
ข้ามทางรถไฟเดินมาประมาณ 40 ก้าว เราก็ได้เจอกับอาณาจักรแห่งความหอมกรุ่นจากเตาเพราะเราเจอร้านขนมน่ารักๆ ที่เราแทยจะเหมาทั้งร้าน
พิกัด : https://goo.gl/maps/AB2eriixoyvtZZGx8
ความหอมมันทำให้เราอดใจไม่ไหวต้องหยิบนั่นหยิบนี่ใส่ถาดไปจ่ายเงิน มารู้ตัวอีกที เราก็หยิบขนมมาเกือบเต็มถาดแล้วสิ
Keibunsha Ichijoji shop
สิ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาย่านนี้คือการมาร้านหนังสือ KEIBUNSHA : BOOKS, GIFTS and SOMETHING FOR LIFE ที่แทบจะกลายเป้นกิมมิกของที่นี่ไปแล้ว ทุกคนที่หลงใหลในหนังสือและงานคราฟต่างๆ ก็พากันมุ่งหน้ามาที่นี่ ถ้าจะให้บอกว่าร้านนี้เป็นร้านอะไรกันแน่ ก็คงต้องตอบแบบงงๆ ทั้งมั่นใจและไม่มั่นใจว่ามันคือ ร้านหนังสือ ของขวัญ และอะไรอีกหลายอย่างสำหรับการดำเนินชีวิต
แค่ฟังดูก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ศิลปินเลยใช่ไหมล่ะก็นั่นแหละอารมณ์ของร้านนี้
พิกัด : https://goo.gl/maps/yQB9arqnhQYJjC6BA
ภายในร้านจะถูกแบ่งออกเป็น 4 โซน ที่สามารถเดินเชื่อมต่อถึงกันได้หมด คือ
Keibunsha Bookstore, Keibusha Ichijoji Shop, Keibunsha Cottage และ Keibunsha Gallery Enfer
เอาจริงๆ นะ กลิ่นหนังสือมันหอมเอามากๆ เลย เราเข้าใจคนเสพติดกลิ่นหนังสือ เหมือนที่เราเสพติดกลิ่นกาแฟนี่แหละ
Akatsuki Coffee
พูดถึงกลิ่นหนังสือกลิ่นกาแฟ ร่างกายก้ต้องเติมคาเฟอีนเข้าเส้นเลือดหน่อยแล้ว เอาล่ะ ก่อนที่เราจะไปต่อกันย่านราเมน เราก็ขอไปเช็คอินร้านกาแฟสักนิด เราเลือกร้านเล็กๆ น่ารักๆ ที่แค่เปิดประตูเข้าไปกลิ่นขนมปังที่อบสดใหม่และกลิ่นหอมของกาแฟก็ลอยมาเตะจมูก
เมื่อเราจัดแจงหาที่นั่งเราก็สั่งลาเต้เย็นเมนูโปรด มานั่งจิบกระดิกขาถ่ายสตอรี่ไอจีนิดนึง ฟังเพลงเบาๆ นั่งมองคนเดินไปเดินมาแบบเพลินๆ คือดี ที่นี่แทบไม่เห็นนักท่องเที่ยวเลยนะ
ส่วนมากมีแต่คนท้องถิ่นมากันจริงๆ แถวนี้เลยไม่ค่อยจะวุ่นวายมากนัก
พิกัด : https://goo.gl/maps/Txk4ANQfxeFVbDnV6
Ramen Jiro Kyoto shop
เอาล่ะ ต่อจากนี้เราจะเริ่มบุกร้านราเมนให้สมกับที่ได้รับสมญานามว่า Ramen Town บนถนน Higashi Oji-dori Ave ที่มีร้านราเมนอยู่มากกว่า 20 ร้าน หรืออาจจะเรียกได้ว่าที่นี่คือ เมืองราเมนขนาดย่อมๆ เลยนะ ซึ่งแต่ละร้านที่ตั้งอยู่ใกล้กันบ้างห่างกันบ้างต่างก็ฟาดฟันกันด้วยรสชาติและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับร้านแรกที่จะเข้ามาในกะเพาะของเรานั้นก็คือ ร้านราเมนที่มีเสียงลือว่า ในช่วงวันหยุดนั้นจะมีแถวยาวหน้าร้านเชียวล่ะ แต่ถือเป็นโชคดีที่วันนี้เรามาวันธรรมดา เลยได้มานั่งกินแบบไม่ต้องรอคิว ราเมนที่นี่มีเอกลักษณ์ที่น้ำซุปและเส้นที่ค่อนข้างใหญ่และหนึบจนกลมกล่อมลงตัว บนชามเน้นถั่วงอกและหมูชิ้นหนา ทั้งมันและข้น และชามใหญ่มากกกกกกก แค่ร้านแรก เราก็แทบจะอิ่มจนกลิ้งได้อยู่แล้ว
พิกัด : https://goo.gl/maps/2RVpC7VrY4VaVmu46
らーめん大蔵一乗寺店
ร้านนี้เรารีบเดินเข้าเพราะเขียนหน้าร้านไว้ว่าปิดแค่ 14.30 น. ซึ่งช่วงเวลาเปิดปิด ค่อนข้างน้อยมาก แบบรีบเปิดรีบปิดสินะ ไม่ได้การละ เราจะต้องไม่พลาด ยิ่งเห็นรูปเมนูจากกูเกิ้ลแมพด้วยแล้ว เราแทบจะพุ่งตัวเข้าร้านเลยแหละ
พิกัด : https://goo.gl/maps/Q4tqHA7uhGh5yipT9
แท้แด่ นี่ไงงงงง เมนูที่เราบอกว่าเราต้องรีบพุ่งตัว
โอ้โหหหหหหหหหห มันอร่อยมากๆ เส้นราเมนที่นี่เล็กและเกนียวหนึบ น้ำซุปจากโชยุมันโคตรอร่อยเลย นี่ขนาดเราอิ่มมาจากร้านแรกแล้วนะ มาถึงร้านนี้ เราแทบจะหยุดไม่ได้ จัดไปอีก 1 ชามหมดแบบไม่ทันตั้งตัว
Bishiya
ร้านราเมนหัวมุมถนนที่เปิดมาตั้งแต่ปี 2013
ภายในร้านค่อนข้างแคบแต่ก็ปกติของร้านราเมนในญี่ปุ่นแหละ
เอาจริงๆ นะ เราติดใจร้านนี้เพราะรูปจากกูเกิ้ลแมพอีกนั่นแหละ
พิกัด : https://goo.gl/maps/KAnt4b6hiGYFFg6p8
และในชามที่เห็นอยู่ ก็คืออีกหนึ่งเมนูที่เราตั้งใจจะมาโดนในวันนี้ เส้นราเมนของร้านนี้ มีความคล้ายเส้นหมี่ซั่วที่ใหญ่กว่า ไม่มีความขรุขระของเส้น เมนูที่เราสั่งเป้นแบบแห้ง ทั้งเส้นและเนื้อรวมกับผักและเครื่องเคียงเมื่อผสมกับไข่ดิบคลุกเคล้าแล้วมาเข้าปาก โอ้โหหหห มันดีมากๆ เลยแก
Day 5 Ohara
Sanzen-in Temple
เช้าวันนี้เรานั่งรถบัสเกียวโตสาย 17 ออกมานอกเมืองเพื่อมาตามหาอีกหนึ่งสถานที่ที่ว่ากันว่า นี่คือแหล่งชมใบไม้แดงที่สวยอันดับต้นๆ ของเกียวโตอย่างเมืองโอฮาระ เมืองแห่งเกษตรกรรมแสนสงบ และ destination ของเราก็คือ วัดซานเซนอิน(Sanzenin Temple) นั่นเอง
พิกัด : https://goo.gl/maps/c3Lzxqc7DfWx4zFw8
อดีตอันรุ่งโรจน์และความร่ำรวยทางวัฒนธรรม เราไม่แปลกใจเลยหากเกียวโตจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องเช็คลิสต์อยู่มากมาย วัดซานเซ็นอินก็เป็นหนึ่งในนั้น นับเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่พอตัว แถมยังเต็มไปด้วยอาคารและสวนแบบญี่ปุ่น ที่แค่เข้าไปก็รู้สึกสดชื่นแล้ว
รูปปั้นเด็กในสวนถือเป็นจุดขายของที่นี่ ทุกคนที่มาวัดนี้ จะต้องมายืนมองน้องๆ ที่นอนเล่นบนมอสในสวนแห่งนี้ ชาวบ้านที่นี่เชื่อว่า รูปปั้นเด็กๆ ที่นี่ คือเทพที่คอยปกป้องเด็กๆ ของที่นี่
วัดแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อสมัยเฮอันราวๆ ปี ค.ศ. 794-1185 โดยพระภิกษุ Saicho
ผู้ก่อตั้งนิกายเท็นได เมื่อเดินตามทางด้านหลังของวัดเข้าไปในป่าก็จะพบกับน้ำตก Otonashi และเจอศาลเจ้าเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายแห่งในวัดนี้
สำหรับสายช็อปก็ก็สบายใจได้เพราะตลอดเส้นทางจากที่เดินไปยังประตูวัดเรียงรายไปด้วยร้านค้าเล็กๆ ขายของที่ระลึกอีกเพียบ
Half day Gion
GYUGYU
ก่อนกลับไปสนามบิน เราขอเช็คอินย่านเกอิชาอันเลื่องชื่อของเกียวโตสักหน่อย ก่อนอื่นเราขอเช็คอินร้านข้าวหน้าเนื้อเติมพลังสักนิด ร้านนี้จะเปิดให้บริการทั้งมื้อเที่ยงและมื้อเย็น
อันที่จริงถ้ามามื้อเย็นจะมีเมนูเด็ดๆ เพียบกว่านี้ แต่เวลาเราไม่พอแล้ว เราเลยต้องมาจัดตั้งแต่มื้อเที่ยง ถือเป็นมื้อที่ฟินก่อนกลับไทย
พิกัด : https://goo.gl/maps/wqi82LgdrXEpRffw7
Yasaka-Jinja Shrine Nishiromon Gate
เดินออกมาจากร้านข้าวหน้าเนื้อ ตรงมาเรื่อยๆ ก็จะเจอประตูทางเข้าสีแดงขนาดใหญ่
เป็นสัญญาณบอกเราว่าเราได้มาถึง ศาลเจ้ายาซากะ (YASAKA SHRINE) แล้ว
และประตูนิชิโร (Yasaka-Jinja Shrine Nishiromon Gate) ที่เราเดินมาถึงนี้อยู่ตรงแยกกิออน ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของย่านกิออนที่มีความคึกคักและป๊อปในหมู่นักท่องเที่ยวมาก
ย่านนี้ยังมีร้านให้เช่าชุดกิโมโนไว้ใส่เดินเล่นอีกหลายร้าน อยากเก๋ก็ลองเช่ามาใส่กันดู
หลังจากเดินขึ้นบันไดไปประตูซากุระมง(นิชิโรมง) ก่อนถึงศาลเจ้ายาซากะ
ก็จะเจอร้านค้าแผงลอยที่ขายอาหารต่างๆ น่ากินทั้งนั้นเลย
พิกัด : https://goo.gl/maps/nLV2oms5cdxC7nhm9
ศาลเจ้ายาซากะ
ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นสถานที่จัดงาน “เทศกาลกิออน” หนึ่งในสามเทศกาลขนาดใหญ่ของเกียวโตด้วยแหละ ซึ่งที่นี่ถือเป็นศาลเจ้าหลักในบรรดาศาลเจ้ายาซากะที่มีอยู่ในประเทศญี่ปุ่นถึง 3000 แห่ง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีความโดดเด่นทางด้านการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและการพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ หลายๆ คนก็ไปสักการะขอพรเรื่องสุขภาพกัน
พิกัด : https://goo.gl/maps/m6qU9zuWV2ACQc2K9
การลองนั่งรถลากก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรพลาด
ได้เวลานั่งรถไฟกลับสนามบินแล้ว การมาเที่ยวเกียวโตนี่สะดวกมากๆ เลยนะ เพราะตอนกลับ เราสามารถเลือกนั่งรถไฟ Kansai Airport Limited Express “Haruka” รถไฟขบวนคิตตี้น่ารักน่าชังตรงไปยังสนามบินได้เลย ออกจากสถานีรถไฟก็ตรงดิ่งไป Terminal 1 เช็คอินโหลดกระเป๋าพร้อมขึ้นเครื่องสวยๆ ได้เลย
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทริปเกียวโต-โอซาก้าของเราจะผ่านไปไวขนาดนี้
รอบนี้เราได้เจอเกียวโตในรูปแบบใหม่ที่เราไม่เคยได้เจอ และมันก็สร้างความประทับใจและประสบการณ์ใหม่ให้เราได้ความประทับใจกลับมาแบบยากที่จะลืม
ทุกครั้งที่มาเที่ยวญี่ปุ่น ทุกรอบที่มาโอซาก้ามันมีความสุโก้ยตลอด !!
ที่สำคัญตอนนี้การมาเที่ยวโอซาก้าเรื่องราคาตั๋ว เรื่องค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้แพงเกินเอื้อมสำหรับทุกคนเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ทั้งบินง่าย เที่ยวง่าย ทุกอย่างง่าย และได้ความสุขเต็มๆ ขนาดนี้ รับรองเลยว่า หากได้มาสุโก้ยที่โอซาก้าสักหนึ่งที ก็จะมีสองสามสี่ตามมาแน่นอน
ด้วยรัก
บันทึกคนขี้เที่ยว