“ผมเดินทางออกจากกรุงเทพ ด้วยรถทัวร์ เวลา 7.30 น. หลังจากนั้น 34 ชั่วโมง เท้าผมก็สัมผัสพื้นเมืองมรดกโลกแสนโรแมนติคของเวียดนามกลาง ที่มีชื่อว่า “ฮอยอัน” ถ้ากำลังค้นหาคำว่า “เสน่ห์” จงมาที่ฮอยอันแล้วจะต้องพูดว่า “อ๋อ เสน่ห์มันเป็นแบบนี้นี่เอง” คนขี้เที่ยวออกเดินทาง (เอี๊ยะเองครับผม…..) ชั่วโมงที่ 0 กทม ประเทศไทย….เช้ามืดวันหนึ่ง ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับคำพูดที่ว่า “กูควรเดินทาง ถ้าขึ้นรถเราจะไปไหนได้บ้างวะ” ผมกาปฏิทินแล้วพบว่ามีเวลาว่างๆ ว่างแบบว่างเปล่าอยู่ 5 วัน และผมก็คิดว่า หลังจากคำนี้ผุดขึ้นมาจากสมองฝั่งซ้าย ผมก็รีบเก็บเสื้อผ้ายัดใส่เป้และขึ้นรถไปขนส่งหมอชิต ระหว่างนั้นผมก็เสิร์ชหาที่เที่ยวด้วยคีย์เวิร์ดว่า “ฮอยอัน” เมื่อมีเป้าหมายที่แน่นอนแล้วเราต้องพุ่งไปหามัน ผมนั่งรถทัวร์ตั้งแต่เวลา 7.30 น. ซึ่งผมมันเป็นชั่วโมงที่ 1 ของการเดินทางไปยังฮอยอันของผม รถทัวร์ กทม. – มุกดาหาร แล่นออกไปพร้อมกับด้วยความงวยงงของตัวผมเอง เรียกว่า No Plan อย่างแท้จริง หลับๆตื่นๆก็มาถึงจังหวัดยโสธร ประมาณ 17.00 น. โทรศัพท์ผมดังขึ้น เมื่อดูเบอร์ก็พบว่าเป็นพี่ชายนักเดินทางที่ผมเพิ่งแชทไปแซวว่า “พี่ผมกำลังจะผ่านบ้านพี่” เสียงในสายบอกกับผมว่า “เอี๊ยะลงจากรถเลย เดี๋ยวพี่ไปส่งที่มุกดาหาร” สิ้นเสียงนั้นผมรีบฉวยเป้ไปนั่งรอใน บขส.ยโสธร หลังจากนั้นไม่นาน พี่หมอไก่ (นายแพทย์ประจำโรงพยาบาลพนมไพร) ก็ขับรถพาผมดิ่งสู่มุกดาหาร ด้วยบรรยากาศใกล้พบค่ำ เรียกว่าเหยียบมิดคันเร่งไปถึงด่านมุกดาหารเวลา 20.00 น. (ด่านปิด 22.00) ข้อคิดดีๆของผมในครั้งนี้ก็คือมิตรภาพระหว่างนักเดินทางที่ไม่เคยสิ้นสุดทิ้งจริงๆครับ ขอบคุณพี่หมอไก่มา ณ ที่นี้ด้วย เพราะถ้าผมขึ้นรถทัวร์ไปตามปกติด่านคงปิดก่อนข้ามไปลาวแน่ๆ
ชั่วโมงที่ 12 สะหวันนะเขต ประเทศลาว….ผมหารถตู้คาสิโนจากด่านมุกดาหารข้ามไปฝั่งลาว อย่างทุลักทุเลอันเนื่องมาจาก รถระหว่างประเทศที่ บขส.มุกดาหาหมดไปตั้งแต่ 19.00 น. แล้ว เลยไปเสี่ยงดวงหน้าด่าน ฟ้าฝนยังเป็นใจที่มีรถคาสิโนข้ามไปฝั่งลาว ด้วยราคา 100 บาท เอาวะ ไงก็ต้องไปไว้ก่อน หลังจากนั้นต่อรถสามล้อจากคาสิโน ไปขนส่งสะหวันนะเขต ราคา 150 บาท ถ้าไปหลายคนน่าจะโอเคกว่านี้ แต่คนเดียวไงก็ต้องไป ทริปนี้เงินลาว เงินเวียดนามอะไรก็ไม่ได้แลกไป พอถึงขนส่งสะหวันนะเขต ก็วิ่งไปซื้อตั๋วรถ สะหวันนะเขต-ดานัง ในราคาเงินไทย 500 บาท (ก็ไม่รู้ว่ามันแพงมั้ยแต่คิดว่ามันก็คุ้ม) เป็นโชคดีที่ทริปโนแพลนมันตรงเป๊ะกับรอบรถไปดานังพอดี สถานการณ์ในสถานีขนส่ง เงียบมากๆ เงียบจนไม่รู้ว่าเคยเป็นสถานีขนส่งมาก่อน แต่ยังดีที่มีรถที่จะไปดานังก็เลยจัดการซื้อตั๋ว ราคาประมาณ 500 บาท (ผมไม่ได้แลกเงินกีบไว้มันก็เลยจะดูแพงหน่อย : 110,000 กีบ) รถออก 21.00 น. เวลาจริงๆที่ออก 21.15 น. เป็นรถสภาพ Local Bus ไม่มีแอร์และในรถเต็มไปด้วยข้าวของ สรรพสินค้าที่ขนส่งไปเวียดนามไม่ว่าจะเป็นกล้วยเครือใหญ่ ชาสำเร็จรูป และกระสอบอะไรซักอย่าง หลายกระสอบ รวมไปถึงแม่ไก่ร้องกระต๊ากๆตลอด แต่โชคดีที่คนไม่เยอะ เบาะคู่นี่นั่งคนละ 2 เบาะได้เลย ส่วนวิธีการใช้ชีวิตจะเป็นแบบอิสระจะนั่ง จะยืน จะนอนแบบไหนก็ได้ จะเอาขาพาดข้ามเบาะก็ได้ รถก็วิ่งมาเรื่อยๆขับไม่ช้า ความรู้สึกผมประมาณ 90 กม./ชม ++ และแล้วรถก็จอดมองดูข้างๆเป็นตึก 2 ชั้น ควักโทสับออกมาเวลา 00.40 น. ก็เดาว่านี่คือ “ด่านแดนสะหวัน” เป็นด่านสุดท้ายก่อนเข้าด่านลาวบาวของเวียดนาม แต่มันยังไม่เห็นตัวด่านนะเป็นเหมือนตึกแถว ความงงๆก็เกิดขึ้น พนง. เรียกให้ผมลงจากรถ แกควักๆมือจากข้างล่าง และทำท่าเป็นอวัจนะภาษาว่า “ลงไปนอน” พลางชี้มือเข้าไปที่ร้านค้า ที่เพิ่งถูกรูดแผงขึ้น ผมก็เออๆเดินลงไปพนง.รถชาวเวียดนามก็ชี้ไปที่ฟูกนอน สภาพในร้านนั้นเหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวมากกว่าจะเป็นที่พัก เอาแหละนอนก็นอน ไม่ไรแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง เค้าคงรอด่านเปิดตอนเช้า เป็นที่มาของ “รถนอน” คือนั่งมาก่อนแล้วมานอน 5555 เมื่อเช้าแดดสว่าง เปิดโทสับเวลา 5.40 น. ก็ตื่นล้างหน้าแปรงฟัน กำลังงัวเงียป้าเจ้าของร้านก็พูดประมาณว่าให้จ่ายเงิน มีคนมาช่วยพูดภาษาอังกฤษว่า 30,000 ดอง (ตีซะประมาณ 50 บาทไทย) ก็โอเคๆ นอนไปแล้วนี่ก็ต้องจ่ายป่ะวะ ผมก็ถามเค้าว่าด่านเปิดกี่โมง เค้าบอก 7.00 น. ซักแป๊บพนง.ก็เรียกผมขึ้นรถ ทริปโนแพลนก็ดำเนินไปต่อ ประทับตราที่ด่านพรมแดนสากลจุดเดียวประทับตราทั้งลาวและเวียดนามเลยฮะ อันนี้คือสิ่งที่ชอบเพราะสะดวกมากๆ ชั่วโมงที่ 24 ด่านลาวบาว ประเทศเวียดนาม…. รถบัสพาผมข้ามมาที่ดินแดนเวียดนามแล้ว รถบัสจอดแวะอยู่ใกล้ๆด่าน มีร้านค้าเยอะมากๆ ผมลืมบอกไปว่าผู้โดยสารทุกคนบนรถบัสเป็นคนเวียดนามทั้งหมด (ประมาณ 6 คนไม่รวมผม ) บริเวณนั้นมีร้านเพิงร้านค้ารืมทาง ขายกาแฟ ขายซิมการ์ด และแลกเงิน ผมแนะนำว่าใครมีของกินเล็กๆน้อยๆกินประทังไปก่อนก็ดีนะครับ แต่ถ้าหิวมากก็หาไรทานแถวนั้นก็ได้ ส่วนผมนั้นไม่ได้ทานอะไรเลยครับ พอดีว่าแวะร้านค้ามาจากไทยซื้อขนมปังเล็กๆน้อยๆไว้กินครับ (ผมรู้ตัวว่าค่อนข้างทานอะไรยาก) ผมใช้โอกาสนี้ซื้อซิมการ์ดซะเลยครับ โดนเก็บไป ประมาณ 50,000 ดอง ก็โอเคแหละ ดีกว่าตัดขาดโลกภายอก เวลาประมาณ 9.00 โมง รถมุ่งหน้าไปในดินแดนเวียดนามกลาง ชั่วโมงที่ 33 ดานัง ประเทศเวียดนาม …..เวลาประมาณ 16.00 น. ถึงดานัง เรียกกันว่านั่งบนเตาอบร้อนๆจนเกือบหมันจะแดกกันเลย ระหว่างนั้นก็มีพักกลางทางทานข้าวกลางวันบาง แต่คอนเซปเดิมผมไม่ได้ทายนอะไรเลย แต่ขอเค้าอาบน้ำแทน เพราะไมไหวแล้ว เหนียวตัวโคตรๆ (ตั้งแต่ กทม. ยังไม่ได้อาบอีกเลย) รถก็ผ่านเมืองสำคัญๆระหว่างทางมาเรื่อยๆ อย่างที่ว่านั่นแหละครับ 16.00 น. ถึงปลายทางที่เมืองดานัง ทีมพนง.ของรถบัสทำท่าทำทางเป็นอวัจนะภาษาอีกตามเคยประมาณว่า “ระวังกระเป๋าเงินกับโทรศัพท์” บริเวณสถานีขนส่งดานังเป็นจุดจอดรถค่อนข้างใหญ่โต เพราะดานังเป็นเมืองเศรษฐกิจท็อป 3 ของเวียดนามและเป็นเมืองเอกของเวียดนามกลางนะฮะ ผมพยายามถามคนแถวนั้นว่า “Sorry sir, How to go to hoi an “ ดูจากคำที่พูดไปก็คงไม่มีอะไรแต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า คนเวียดนามไม่ได้ออกเสียง “ฮอย-อัน” เหมือนที่คนไทยอ่านจากตัวอักษรแล้วสะกดด้วยเสียงภาษาอังกฤษ ในความจริงคนเวียดนามออกเสียงว่า “ฮ๋อย-แอง” กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง 555 เอาเป็นว่าได้ขึ้นรถเมล์ท้องถิ่งในราคา 20,000 ดอง ใช้เวลา 45 นาที ชั่วโมงที่ 34 ฮอยอัน ประเทศเวียดนาม….
“หลับตาลงครั้งใด ก็เห็นว่ามีแต่ภาพใครบางคน” เมืองนี้โด่งดังมาจากละครไทยเรื่องฮอยอันฉันรักเธอ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว มีพระเอกเป็นพี่แดน ดีทูบี ส่วนพี่เจนี่ เป็นนางเอก ทุกคนในไทยพากันพูดว่า “ทำไมฮอยอันมันถึงโรแมนติคขนาดนี้” ตามที่เค้าร่ำลือกันเลยฮะ ฮอยอันเมืองเก่าแก่ แห่งเวียดนามนั้นมีดีจริงๆ หลังจากผมหลังขดหลังแข็งเดินทางมา 34 ชั่วโมง ก็มาถึงโดยสวัสดิภาพ ถ้าจะให้ผมสาธยายความดีงามของฮอยอันยังไงก็คงใม่หมด ข้อเด่น ข้อดีของ ฮอยอันคงจะเป็นเรื่องของเมืองโบราณ เป็นเมืองเก่า ที่คงรูปลักษณ์ตึกสไตล์ตะวันตก ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2542 องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเขตเมืองเก่าของฮอยอันให้เป็นมรดกโลก ด้วยเหตุผลว่าเป็นตัวอย่างของเมืองท่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15-19 ที่มีการผสมผสานศิลปะและสถาปัตยกรรมทั้งของท้องถิ่นและของต่างชาติไว้ได้อย่างมีเอกลักษณ์ และอาคารต่างๆภายในเมืองได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี ทุกวันนี้ ฮอยอันยังคงเป็นเมืองขนาดเล็กเช่นเดิม แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนเป็นจำนวนมาก ผู้มาเยือนมักมาเยี่ยมชมร้านค้าขายผลงานทางศิลปะและหัตถกรรม ริมฝั่งแม่น้ำมีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารเปิดเรียงรายอยู่มากมายซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าใช้บริการ ด้วยความที่หลายๆคนคงจะกังวลว่าเมื่อไปเวียดนามจะเจอบรรยากาศวุ่นวายหรือไม่ ก็คงเพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไปเที่ยวเมืองใหญ่ๆของเวียดนามเหนืออย่างฮานอย หรือเวียดนามใต้อย่างโฮจิมินห์ ที่จะได้ยินเสียงบีบแตรรถอย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง อยากบอกว่า ฮอยอันไม่เป็นแบบนั้นเลยครับ คิดว่าชาวไทยน่าจะชอบ…