ถ้าใครยังไม่ค่อยเชื่อคำกล่าวที่ว่า “ภูเก็ต คือสวรรค์เมืองใต้”
เราก็จะขอโบกมือทักทายกล่าวเชิญเข้ามามุงที่โพสต์นี้
อย่างที่รู้แหละว่าภูเก็ตมีทั้งหาดสวย น้ำทะเลใส จุดชมวิวพีค เกาะเยอะ ของกินแยะ
แต่รอบที่เด็ดที่สุดของเราคราวนี้ ขอหลีกหนีหาดป่าตอง
ไม่มองย่านเมืองเก่า ไม่เข้าผับบาร์ แต่มองหามาทางเกาะสิเหร่
พักผ่อนเก๋ ๆ แบบไม่ไกลเมือง รอชมแสงแรกทั้งพระจันทร์และพระอาทิตย์ก่อนใคร
ที่ The Tide Beachfront Siray Phuket เตรียมแช่น้ำตีฟองที่อ่างในห้อง
แล้วออกมาว่ายน้ำในสระที่เริ่มตั้งแต่ระเบียงห้องยาวๆ ไปจนถึงหาด
วันต่อมาก็หยิบบิกีนี่ตัวใหม่ออกไปท่องเกาะไข่ทั้งสองเกาะ
ทำตัวเปรี้ยวให้ทะเลร้อนฉ่า ถ่ายรูปโพสต์ท่าให้ปลาตะลึง
ก็ภูเก็ตฉบับคนน้อย ฟ้าสวย น้ำใส ได้ใจขนาดนี้ ถ้าไม่ไปช่วงนี้จะให้ไปช่วงไหน
และพิเศษสำหรับคนขี้เที่ยวและช่วงมีนาคมนี้ เรามีราคาดี ๆ
เริ่มต้นที่คืนละ 1,800 บาทเท่านั้น!! แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าเข้าพัก 3 วัน 2 คืน
เหลือเพียง 2,900 จากราคา 3,600 คือคุ้มมากเวอรรรร์
สำหรับรายละเอียดอื่นๆ ห้องพักสวยแค่ไหน บรรยากาศดีงามเพียงไร
สระว่ายน้ำอลังเว่อร์วังขนาดไหน กดเข้าไปชมได้เลยจ้า
จองห้องพักหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
FB : The Tide Beachfront Siray Phuket
Chat : https://m.me/thetidephuket/
พิกัด : https://goo.gl/maps/NHkWRJ7DzjMnfkNr7
สำหรับโรงแรมที่เหมาะกับการพักผ่อนให้เราได้ผ่อนคลายไปกับเสียงทะเล เสียงคลื่น
ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตเพียง 4 กม. ไม่ไกลจากที่เที่ยวต่างๆ
อีกทั้งในโรงแรมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ติดชายหาด
มีสระว่ายน้ำทั้งของผู้ใหญ่และเด็ก ฟิตเนส ห้องอาหารที่จะให้เราได้นั่งดินเนอร์ริมหาดแบบเอ็กคลูซีฟ
พิเศษ!!! ราคาสำหรับการจองห้องพักรวมอาหารเช้า
ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคมนี้ และเข้าพักได้ถึง 31 ตุลาคมนี้
Deluxe Sea View Room 1 คืน ราคา 1,800 บาท 2 คืน 2,900 บาท
Grand Deluxe Sea View Room 1 คืน ราคา 2,000 บาท 2 คืน 3,500 บาท
Deluxe Pool Access Room 1 คืน ราคา 2,200 บาท 2 คืน 3,900 บาท
สถานที่ : เกาะไข่นอก
พิกัด : https://goo.gl/maps/PujgUCC3Po1xRSHb7
สถานที่ : The Tide Beachfront Siray Phuket
พิกัด : https://goo.gl/maps/NHkWRJ7DzjMnfkNr7
เริ่มต้นจากสนามบินภูเก็ตตรงดิ่งมาเช็คอินที่โรงแรมโดยเร็ว เพราะว่าที่นี่บรรยากาศดีมว๊ากกกกกกกก
ก็นะ มาถึงวันแรกเราก็อยากพักผ่อน รับลมชิวๆ ให้เต็มที่ เพราะว่าที่นี่ติดทะเลอยู่แล้ว มีหาดส่วนตัว มีสระว่ายน้ำยาวและกว้างมาก แถมมุมถ่ายรูปก็เยอะมากด้วย ต้องใช้เวลาทั้งวันแหละกว่าจะเดินเล่น นั่งเล่น ถ่ายรูปได้ทั่ว
ที่นี่มีทั้งหมด 3 ตึก 148 ห้อง โดยแต่ละตึกจะมีความแตกต่างกันไป แต่เน้นตีมสีหลักคือ ฟ้า ขาว และเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ให้สีกลมกลืนกับตีม สำหรับตึกที่เราอยากแนะนำคือ The throne building ตึก 2 ชั้นที่เน้นความหรูหรา เรียบง่าย สไตล์รีสอร์ท ชั้นล่างสามารถออกมาจากระเบียงลงว่ายน้ำได้ทันที ส่วนชั้น 2 นั้นก็วิวดีไม่แพ้กันเห็นทั้งทะเลและสระว่ายน้ำได้เลย
แล้วไม่ต้องกลัวว่าพื้นที่ส่วนกลางจะไม่พอเพราะที่นี่มีสระว่ายน้ำถึง 3 สระด้วยกัน
อีกหนึ่งตึกที่เราเลือกมาแนะนำคือ Coral building ในห้อง Grand Deluxe Sea View ห้องกว้างแบบเตะฟุตบอลในห้องยังได้ ได้วิวสระว่ายน้ำและทะเลแบบเต็มๆ ใกล้ๆ ชัดๆ
ที่สำคัญมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ โดยเฉพาะอ่างแช่น้ำกลางห้อง มันให้ความรู้สึกอยากกระโจนลงแช่น้ำทันที
เข้ามาในห้องก็ต้องกรีดร้อง วิ่งไปตีฟองแช่น้ำในอ่างให้ฟินก่อนสิ่งแรก
ส่วนที่รักที่สุด ก็ต้องเป็นห้อง Deluxe Pool Access ของตึกThe throne building นี่แหละ
เราว่าตอบโจทย์ความมีสไตล์ของคนรุ่นใหม่อย่างเราดีที่สุด
แช่น้ำในห้องเสร็จแล้ว ก็ต้องขอจัดบิกินี่ตัวใหม่มาแช่น้ำในสระที่ระเบียงห้องกันบ้าง
ทุกมุมสวยงามน่าสะบัดกระโปรงจริงๆ
จุดที่เราชอบมากที่สุดคือ เปลตาข่าย ตรงนี้นี่ไง
มันเหมาะกับการมานอนเล่น นอนคุยกันเฮฮาปาร์ตี้
นั่งมองวิว รับลม แถมยังถ่ายรูปสวยด้วย
หรือจะมานอนอาบแดดที่หาดทรายริมสระว่ายน้ำที่ทั้งกว้างและเป็นส่วนตัว ที่นี่เนรมิตให้ตอยโจทย์ความต้องการของคนอยากพักผ่อนได้อย่างดีเยี่ยม
สระใหญ่ของที่นี่ มีจากุซซี่ให้นั่งเล่นเพลิน ๆ นวดตัวชิวๆ ด้วย ถูกใจเรามากกกก
สำหรับเรา การนอนอาบแดดเฉยๆ ก็ไม่ใช่สไตล์
ไหนๆ ก็ลงสระจากหน้าห้องมาแล้ว ก็ขอว่ายยาวๆ
มาจนถึงสระด้านหน้าหาดเลยแล้วกัน แล้วบอกเลยว่าไม่ต้องห่วงจ้า
เพราะจากสระน้ำหน้าห้องมาจนถึงหน้าหาด เป็นสระน้ำที่เชื่อมต่อกัน
แล้วบอกเลยว่าไม่ต้องห่วงจ้า
เพราะจากสระน้ำหน้าห้องมาจนถึงหน้าหาด เป็นสระน้ำที่เชื่อมต่อกัน ความเก๋ของสระว่ายน้ำที่คืออยู่ติดหน้าหาดเลย จะว่ายน้ำเอาเหนื่อยก็ได้อันนี้ไม่ว่ากัน แต่สำหรับเรา เราขอว่ายน้ำเอาภาพสวยละกัน เพราะมันเหมาะกับการนั่งแช่น้ำแล้วหันหน้าออกทะเลหันหลังให้กล้อง มองฟ้า มองกิ่งไม้ แค่นี้ก็ได้รูปที่โคตรชิว ใช้ชีวิตผ่อนคลายอยู่ที่สระน้ำริมหาด ถ้าอัปโหลดรูปนี้ลงไอจีแล้วเพื่อนไม่มากดอิจฉาก็ให้มันรู้ไป
ความพีคคือที่นี่มีสระว่ายน้ำให้ใช้ถึง 3 สระเลยนะ
อยากใช้สระไหน ว่ายน้ำเท่าไหร่ก็เต็มที่เลย
มุมนี้ก็เป็นอีกหนึ่งมุมที่เราชอบเป็นพิเศษ
ต้องมาสะบัดกระโปรงหน่อยแล้ว
และจุดนี้ก็คือที่ดินเนอร์ของเราเช่นกัน ห้องอาหาร AZUR RESTAURANT
นอกจากจะมีในอาคารแบบมิดชิดไม่ต้องออกมาสัมผัสแดดช่วงกลางวันแล้ว ยังมีโต๊ะอาหารแบบ outdoor มานั่งกินบรรยากาศ ดูแสงเย็น ท่ามกลางลมพัดเอื่อยๆ มันวิเศษไปเล้ยยยยยย
อรุณสวัสดิ์เช้าวันใหม่อย่างสดใสซาบซ่า พร้อมออกเริงร่าที่โลกกว้างแล้ว
เราได้ให้ทางโรงแรมจองทริปเกาะไข่นอกและเกาะไข่ในไว้ให้
แต่ก่อนที่รถตู้จะมารับไปท่าเรือ เราก็ต้องมาใช้สิทธิกินมื้อเช้าให้อิ่มหมีเต็มท้องก่อน
และความน่ารักของที่นี่สามารถเลือกทานอาหารเช้าที่ห้องนอนสำหรับคนขี้เกียจตื่นเช้าแต่งหน้าให้เป๊ะเพื่อออกมาพบสื่อในมื้อเช้า
แต่สำหรับเรา วันนี้มีทริปที่จองไว้กับโรงแรมต่อ เลยเลือกมาทานที่ห้องอาหาร โทนฟ้าขาวตรงตามตีมสีของโรงแรม เมื่อเรามาถึงอาหารของเราทั้งคาวหวานกลิ่นหอมกรุ่นเตะจมูกรอต้อนรับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ทำให้ท้องเราเรียกร้องให้ตักทุกอย่างมาชิม นั่งละเลียดกินไปเพลินๆ รอรถมารับไปเกาะ ทุกอย่างไม่ต้องรีบเร่ง เพราะว่าจากฝั่งไปยังเกาะไข่เป้าหมายของเราวันนี้ ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น
ความสะดวกคือ เราจองทัวร์ไปเที่ยวเกาะไข่เอาไว้กับทางโรงแรม เพียง 800 บาทเท่านั้น ได้ครบตั้งแต่รถรับส่งจากหน้าโรงแรมไปท่าเรือ หลังจากเราทานมื้อเช้าจนอิ่ม ไม่นานรถตู้ก็มารับเราไปขึ้นเรือ ทะเลต้องร้อนฉ่า ฝูงปลาต้องตกตะลึง
เพราะความแซ่บของเรากำลังได้เข้าไปเยือนเกาะไข่อีกไม่กี่อึดใจนี้แล้วจ้า
และแล้วก็มาถึงเกาะไข่นอก เกาะที่อยู่ในพื้นที่ทางทะเล
คาบเกี่ยวระหว่างภูเก็ตกับพังงา
เกาะเล็กๆ ที่ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็เดินเที่ยวได้รอบเกาะ
ชื่ออาจไม่คุ้นเคยนักท่องเที่ยวเท่าเกาะอื่นๆ ในภูเก็ตมากนัก
แต่สำหรับเรานี่คือไข่มุกเม็ดงามที่อยู่กลางน้ำ
เป็นหนึ่งในเกาะสวรรค์แห่งทะเลอันดามัน
ที่ไม่ว่าใครที่ได้มาก็ต้องร้องว้าวแบบเราแน่นอน
อย่างที่บอกว่าวันนี้เราจะไปเที่ยว 2 เกาะ ก็คือ เกาะไข่นอก และเกาะไข่ใน
ซึ่งในกลุ่มเกาะไข่มีทั้งหมดสามเกาะ คือ เกาะไข่นุ้ย , เกาะไข่ใน และ เกาะไข่นอก
ที่เกาะทั้ง 3 แห่งมีชื่อว่าเกาะไข่ นั้นว่ากันว่ามาจากลักษณะของเม็ดทรายที่ชายหาดบนเกาะ
ที่มีเนื้อนวลสีขาวอมน้ำตาลลักษณะคล้ายกับสีของเปลือกไข่นั่นเอง
กิจกรรมหลัก ๆ คือการดำนํ้าดูปะการัง แต่สำหรับเรา
ไม่เน้นชมธรรมชาติมาก เราเน้นถ่ายภาพมากกว่า
ก็แหมมมม หาดทรายสีขาวละเอียดสะอาดขนาดนี้
น้ำทะเลสีฟ้าใส ต้นไม้ร่มรื่นขนาดนี้
จะใจแข็งไม่กดชัตเตอร์ก็กระไรอยู่ ดูสิ ดูความใสของน้ำสิ
มาถึงที่นี่แล้ว ห้ามลืมเดินขึ้นไปจุดชมวิวที่มองเห็นชายหาด
ทะเลสีสวยและ 2 เกาะย่อยแลนด์มาร์คของเกาะนี้
ที่มีลักษณะคล้ายไข่ดาวกลางทะเล เพิ่มความเก๋ให้เราตอนถ่ายรูปด้วย
เที่ยวจนอิ่ม ถ่ายรูปจนเมมใกล้เต็ม เราก็ต้องบอกลาเกาะไข่นอกเพื่อนั่งเรือต่อไปเกาะไข่ในเจอสวรรค์แห่งทะเลอันดามันกันต่อ
ผ่านมาไม่กี่พริบตา เราก็มาถึงเกาะไข่ใน เกาะเล็กๆ ที่ฮอตในหมู่นักท่องเที่ยว มีหาดทรายขาวละเอียดสะอาดตลอดชายหาดทุกด้านของเกาะ ว่ากันว่า เกาะนี้เล็กมาก เดินเล่นเพียง 5 นาทีก็ทั่วเกาะแล้ว ไม่เหนื่อยแถมยังได้เห็นน้ำทะเลสวยใสน่าเล่น
หรือถ้าสวมบทเป็นนักประดาน้ำก็ลองหยิบหน้ากากดำลงไปชมเปะการังน้ำตื้น
ที่สามารถดำน้ำตื้นดูง่าย เช่น ปะการัง แผ่นปะการังจาน และเหล่าน้องปลามากมาย
ความโดดเด่นของที่นี่คือ โขดหินหลากหลายขนาดและหลายสี ตัดกับสีฟ้าสดใสของน้ำทะเลให้เราได้โพสต์ท่าอวดความงามท้าทายแสงแดดโดยเฉพาะหินรูปหัวช้างและรูปเต่า 3 ตัวประติมากรรมทางธรรมชาติที่เกิดจากการกัดกร่อนของกระแสลมทางด้านตะวันออกของเกาะ
ถ่ายรูปกับโขดหินและสีฟ้าของทะเล มุมไหนยังไงก็สวยยยยย
ที่เกาะมีร้านรวง บาร์ คาเฟ่ให้นั่งดูทะเลใสๆ รับลมไป เหมาะกับสายชิว สายทะเลมากกกก
ไม่รู้ใครเป็นคนกำหนดว่ามาทะเลต้องคู่กับน้ำสับปะรด
ซึ่งเราเองก็รู้สึกว่า มันเข้ากันมากทีเดียว
สับปะรดเปรี้ยวซาบซ่าก็ต้องคู่กับน้ำทะเลสีฟ้าสดใสนี่ไง
น้ำใสมากกกกกก ความโดดเด่นที่สุดของที่นี่คือ ฝูงน้องปลาหลากสี ที่คุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี มากแค่ไหนก็ดูจากแค่เดินลงไปก็เจอน้องปลามาว่ายน้ำทักทายแบบใกล้ชิดอย่างนี้แล้ว
ต้องบอกลาทริปเกาะของวันนี้แล้ว
ไว้เราจะมาใหม่นะเกาะไข่ สวรรค์กลางท้องทะเล
กลับมาถึงห้อง อาบน้ำอาบท่า ล้างหน้าตาแล้วแต่งใหม่จนสวยพริ้ง เหลือบไปเห็นนาฬิกาก็ต้องพูดกับตัวเองว่าเย็นนี้เราต้องเต็มที่กันหน่อย
เมื่อตะวันใกล้จะลับฟ้า สาวปาร์ตี้อย่างเราก็ไม่พลาดที่จะหยิบเครื่องดื่ม signature
ประจำห้องอาหารAZUR RESTAURANT มานั่งจิบชมพระอาทิตย์หายไปในขอบทะเล
สำหรับเครื่องดื่มของเราก็คือ Vergin passion fruit mojio 119 THB (ซ้าย) และ
Tidizon 119 THB (ขวา) ที่ให้รสชาติสดชื่นซู่ซ่า เปรี้ยวตัดหวานไปมาทำเอาความเพลียทั้งหมดที่ผ่านมาหายเป็นปลิดทิ้ง
อาหารเย็นวันที่ 2 ของเรา ก็เบาๆ แหละเนอะ เราชอบอาหารทะเลที่จัดจานออกมาได้มีเอกลักษณ์และน่ากินมาก เมนูของเราเรียงจากซ้ายไปขวา ได้แก่
-หอยแมลงภู่พริกเผา 280 บาท
-มัจฉาออนเซ็นอัญชัญ 450 บาท
-มัสมั่นกุ้งแม่น้ำ 280 บาท
-มัสมั่นกุ้งแม่น้ำ 280 บาท ปูม้าพริกไทยดำ 350 บาท
เราว่าโอเคมากสำกรับรสชาติ ความสด ความพอดิบพอดีและความพิถีพิถันของทุกๆ เมนู รู้สึกว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคาของร้านอาหารทั่วไปในภูเก็ตอ่ะ
เอ๊าาา สำหรับสายรักสุขภาพ ก็เตรียมชุดออกกำลังกายมาฟิตเนสได้นะ
ที่โรงแรมมีให้บริการด้วย
อย่างที่เราโม้ไปตั้งแต่ต้นว่า The Tide Beachfront Siray Phuket คือจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่แรกของภูเก็ต ครั้นจะไม่ตื่นมารอชมพระอาทิตย์สักหน่อยก็คงไม่ได้ วันสุดท้ายก่อนกลับ อำลาทริปนี้ไปด้วยแสงยามเช้าที่ทอดผ่านมาจากอีกฟากของขอบฟ้าคล้ายๆ คำบอกลาให้เราเห็นแล้วก็แอบยิ้มเบาๆ และกล่าวสัญญากับต้นมะพร้าวคู่นั้นว่า สักวัน ฉันจะกลับมาเยี่ยมเธออีกนะ
แม้จะมาภูเก็ตบ่อยจนแทบจะนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ครั้งนี้ทำให้เราได้พบกับภูเก็ตในมุมที่กว้างขึ้น พร้อมกับได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ มีความสุขเต็มปรี่จนกลับไปทำงานที่รักได้อย่างมีความสุข
พวกเธอก็เหมือนกันนะ ทำงานเยอะมากแล้ว พักผ่อนกันบ้าง ถ้าหากยังคิดไม่ได้ว่าที่ไหนควรเลือกไปพัก ก็ลองลอกทริปเราได้ เรารับรองว่า สวยจริงชิวจริงไม่มีจกตาแน่นอน
ด้วยรัก
บันทึกคนขี้เที่ยว