บอกต่อโลเคชั่นสุดชิล คาเฟ่ฟีลภาคเหนือที่มาพร้อมกับสะพานไม้กลางนา ย่านคลองสามวาใกล้ซาฟารีเวิลด์ ที่เห็นแล้วต้องแอบตะลึงว่าในกรุงเทพมีแบบนี้ด้วยเหรอ กับที่นี่ ‘ภูดอย Cafe & Craft ‘ คาเฟ่เปิดใหม่เอาใจสายรักธรรมชาติและงานคราฟ ต้นไม้เยอะ มีที่ให้นั่งแยะ อาหารและเครื่องดื่มอร่อย ที่สำคัญมุมถ่ายรูปดีงามจนเพื่อนต้องถามว่าไปเที่ยวน่านมาเหรอ
ข้อมูลเพิ่มเติม
FB : ภูดอย Cafe & Craft
Tel : 095-4914242
พิกัด : g.page/Rodmayhathairat
คาเฟ่เปิดทุกวัน เวลา 07.00 – 17.00 น. ร้านอาหารเปิดทุกวัน เวลา 10.30-24.00 น.
ที่นี่มีทั้งเครื่องดื่มและขนมหวานให้บริการ และทุกเมนูจัดมาในจานที่สวยงาม
มุมถ่ายรูปในร้านเยอะมาก เตรียมกล้องและเมมไว้ให้ดี
ภายในบริเวณร้านแบ่งเป็น 2 โซน คือ คาเฟ่และร้านอาหาร สามารถสั่งเมนูของทั้งสองร้านมากินด้วยกันได้ ซึ่งทั้งของหวาน เครื่องดื่มและอาหารทุกเมนู รสชาติดี การันตีได้เลย
ในส่วนของคาเฟ่นั้นมีหลายส่วนให้ถ่ายรูปและนั่งเล่น ภายในร้านประดับประดาด้วยข้าวของเครื่องใช้แฮนด์เมด ทุกตารางนิ้วให้ความรู้สึกถึงเมืองเหนือ จนเราต้องตกใจว่าที่นี่อยู่ในเมืองกรุงจริง ๆ เหรอเนี่ย
ก่อนเดินเข้าร้าน เราต้องขอแวะไปแชะภาพกับทุ่งทานตะวันน้อย ๆ สักหน่อยที่ทางร้านปลูกไว้แปลงเล็ก ๆ ให้เราได้เพิ่มสีสันของวันได้อย่างดี
ยังนะ ยังไม่ได้เดินเข้าร้านง่าย ๆ หรอกเพราะเจ้าบันนี่ตัวน้อย กระโดดไว ๆ มาหาเรา เจ้ามะลิกระต่ายประจำร้านน่ารักและคุ้นกับคนมากกกก เราสามารถเล่นด้วย ลูบหัวมะลิเบา ๆ ได้ แต่อย่าอุ้มน้องน้า เดี๋ยวน้องจะเฉามือเอา
ร้านร่มรื่นและมีที่นั่งให้เลือกหลายมุมหลายโซน แต่ละโซนล้วนร่วมรื่นและมีความเป็นส่วนตัว ให้ฟีลอยู่บ้านไม้ในภาคเหนือเอามาก ๆ
สำหรับเรา เลือกนั่งโซนด้านในห้องแอร์ จิบกาแฟและเค้กรองท้องก่อนจะออกไปนั่งโซนศาลาริมน้ำสำหรับมื้อเที่ยง
ภายในโซนห้องแอร์นั้นเป็นบ้านไม้ทาสีขาว ประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และเครื่องสาน ให้ฟีลอบอุ่นสุด ๆ
สำหรับเมนูกาแฟมีให้เลือกหลากหลายมาก เราเลือกทานกาแฟน้ำส้มคู่กับโรลมะพร้าวอ่อน เพิ่ใความเฟรชยามเช้าก่อนไปตระเวนถ่ายรูป
ทั้งของหวานและเครื่องดื่มจัดจานมาแบบเต็มมาก ทุกอย่างดูใส่ใตสุด ๆ
นั่งในโซนห้องแอร์จนกาแฟและขนมเกลี้ยงทุกจานแล้ว เราก็มูฟตัวเองมาที่ศาลาริมน้ำ เพื่อสั่งอาหารมื้อเที่ยงของเรา
ร้านอาหารเริ่มเปิดครัวตอน 10.30 น. ทำให้เหมาะกับการออกมานั่งทานมื้อเที่ยงนอกบ้านรับลมเย็น ๆ แวะถ่ายรูปชิล ๆ และสำหรับอาหารของที่นี่ มีเมนูให้เลือกเยอะมาก และที่นี่ทำทุกเมนูแบบสด ๆ ไม่มีการค้างคืน ทุกวัตถุดิบเน้นสดใหม่เท่านั้น
สำหรับเมนูของเรามื้อนี้ ได้แก่ ไข่ตุ๋นหม้อไฟ ปลากะพงทอดน้ำปลา ต้มยำปลาคัง เย็นตาโฟหม้อไฟ เนื้อปูก้อนผัดผงกะหรี่ สำหรับมื้อนี้เราให้ทุกอย่าง 10 คะแนนเต็มทั้งหมด และเอาหัวเป็นประกันเลยว่า อร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก น้ำตาไหล
จัดการอาหารบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เราก็ขอเดินย่อยด้วยการมาโพสต์ท่าถ่ายภาพที่ทุ่งนาเอาไว้อัพลงโซเชี่ยลสัก 2-300 รูป
ช่วงนี้ทุ่งนาแปลงหนึ่งกำลังเขียว อีกแปลงกำลังสีทองอร่าม พร้อมกับสะพานที่ทอดยาวลงไปในท้องนา มันได้ฟีลเหมือนอยู่ต่างจังหวัดเลยแก
มุมแนะนำของวันนี้คือ มุมเก้าอี้หวายที่วางไว้สุดสะพานให้เรามานั่งโพสต์ท่าจิบชาเก๋ ๆ กันได้
ว่าไปฟีลลิ่งก็เหมือนอยู่ในชนบทของญี่ปุ่นเหมือนกันนะ
สดชื่นจริง ๆ เล้ยยยยยย
เดินเล่น นั่งเล่น นอนเล่น ถ่ายรูปจนเมมเต็มแล้ว แดดก็เริ่มหุบ ตะวันใกล้จะลับฟ้า เราแนะนำให้เลือกที่นี่ให้เป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลามื้อเย็นอันแสนดีของทุกคนในครอบครัว
ยามค่ำแสงไฟที่นี่ก็ดีมากกกก
ช่วงเย็น เราแนะนำให้มานั่งกลางสนามหญ้าเพราะลมเย็นสบายมาก แนะนำให้สั่งเมนูอีสานจัดจ้านมาเลยจ้า จิ้มจุ่มร้อน ๆ ปากเป็ดทอด ปีกไก่ ต้องมา และที่ห้ามพลาดคือ ปลาช่อนน้ำตกที่ยกมาทั้งตัว อร่อยมาก อร่อยจนต้องตราตรึงแน่นอน
หนึ่งวันของการมาสิงอยู่ที่นี่ทำให้เรารู้สึกว่าคุ้มค่ามาก จริงๆ การหาที่นั่งชิล ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องออกต่างจังหวัดเสมอไปเนอะว่ามั๊ย เพราะเดี๋ยวนี้มีสถานที่ดี ๆ ในกรุงเทพให้เราเอาร่างไปนั่งเล่นได้เพียบเลย
ด้วยรัก
บันทึกคนขี้เที่ยว