ไปดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่จังหวัดมิเอะ (Mie) เมืองต้นกำเนิดนินจา
สำหรับเราแล้ว ญี่ปุ่นถือเป็นศูนย์รวมความน่ารักของโลกใบนี้ หากมีใครสักคนนิยามว่าญี่ปุ่นเป็นเมืองหลวงของความคาวาอี้ทั้งมวล
เราก็คงยกมือเห็นด้วยเต็มที่ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่ปลายปีนี้เราจะกลับมาที่ญี่ปุ่นอีกเป็นครั้งที่ 3
เพื่อสัมผัสสีสันและบรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วงที่ #มิเอะ จังหวัดชิคๆ ที่คนไทยอาจจะยังไม่คุ้นชื่อ
แต่ขอบอกว่าถ้าใครได้มาสักครั้งรับรองจะติดใจไปอีกนาน เพราะที่มิเอะมีให้ครบจบที่เดียว
ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ แหล่งช้อปปิ้ง อาหารการกิน แถมการเดินทางก็สะดวกสบาย เปิดวาร์ปตรงดิ่งจากกรุงเทพได้เลย
ทริปนี้เราเลือกบินตรงไปลงที่นาโกย่า (Nagoya) แล้วต่อรถไฟ Kintetsuไปชมเทศกาลไฟ Nabana No Sato สวนอุเอโนะ ปราสาทอิงะอุเอโนะสักการะ #ศาลเจ้าอิเสะ #หินแต่งงาน ไปกินเนื้อมัตสึซากะ ช้อปปิ้งที่ #ถนนโอฮาไรมาจิ ย่ำราตรีที่Osaka และไปชมกวางที่Nara
แล้วก็กลับไทยอย่างชื่นมื่น เอาเป็นว่าถ้าอยากตามเรามา
ไปจองตั๋วกันด่วนๆ ที่ www.airasia.com
ด้วยความที่ทริปนี้เรามีเวลากันแค่ 4 วัน เราจึงเน้นเที่ยวที่จังหวัดมิเอะกันเป็นส่วนใหญ่ โดยใช้บริการรถไฟ Kintetsu เป็นหลัก เราเลือกซื้อบัตร Kintetsu Rail Pass plus ที่จ่ายเพิ่มเพียงไม่กี่เยน เราก็สามารถเดินทางไปถึงโอซาก้าและนาราได้สบายๆ แถมด้วยสิทธิพิเศษส่วนลดเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้อีก
ส่วนใครที่ยังไม่รู้จักจังหวัดมิเอะและไม่รู้ว่าที่นี่ดีงามยังไง #มากองรวมกันตรงนี้
จังหวัดมิเอะ (Mie Prefecture) ตั้งอยู่ในภูมิภาคคันไซ (Kansai) เช่นเดียวกับโอซาก้า เกียวโต นารา เฮียวโงะ วากายามะ และชิงะ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมหลายๆ อย่าง แถมยังเป็นแหล่งกำเนิดของนินจาอันโด่งดัง และเป็นที่ตั้งของศาลแห่งแรกและศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นด้วย ส่วนเมนูต้นตำหรับที่เราจะมาตามหาถึงแหล่งกำเนิดในทริปนี้ก็คือเนื้อมัตสึซากะ มาถึงที่ไม่โดนไม่ได้เด้อ
ทริปนี้เราเลือกบินตรงมาที่นาโกย่า (Nagoya) หนึ่งในสนามบินที่ตั้งอยู่ใกล้กับจังหวัดมิเอะที่สุด และสายการบิน #AirAsiaX ก็เพิ่งเปิดเที่ยวบินตรงจากดอนเมืองมาที่สนามบิน Chubu Centrair เมืองนาโกย่า เราเดินทางออกจากสนามบินด้วยรถไฟ #Mietetsu เข้าไปในตัวเมืองนาโกย่า แล้วต่อรถไฟ #Kintetsu ด้วยบัตร Kintetsu Rail Pass plus ไปเที่ยวให้ทั่ว #Mie #Osaka และ#Nara ไล่ไปตั้งแต่เทศกาลไฟ Nabana No Sato ไปเดินชม #สวนอุเอโนะ #ปราสาทอิงะอุเอโนะ (IgaUenoCastle) ไปกิน #เนื้อมัตสึซากะ แบบต้นตำรับที่เมือง #Matsusaka ไปสักการะศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอิเสะ หรือ #ศาลเจ้าอิเสะจิงงู (Ise Jingu Shrines) เดินช้อปปิ้งที่ #ถนนโอฮาไรมาจิ (Oharaimachi) ไปขอแฟน เอ้ย ขอพรที่ #หินแต่งงาน (Meoto Iwa) ก่อนที่จะย้ายไปย่ำราตรีที่เมืองโอซาก้า (Osaka) และพาเพื่อนไปเดินชิลชมเมืองและป้อนอาหารกวางที่เมืองนารา (Nara) ก่อนจะบินตรงกลับกรุงเทพฯ จากสนามบิน Kansai ในโอซาก้า
หลังจากเครื่องบินลงจอดที่สนามบินชูบุ เซ็นแทรร์ (Chubu Centrair) ประมาณบ่ายสอง ตามเวลาท้องถิ่น เรียกได้ว่าเวลาดี มาถึงปุ๊บ เที่ยวต่อได้เลย เราเดินทางออกจากสนามบินด้วยรถไฟ Mietetsu เข้าไปในตัวเมืองนาโกย่า เราก็จัดการผ่าน ตม. รับกระเป๋าและเดินออกมาหาซื้อตั๋วรถไฟ Kintetsu ที่ศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยว ‘Central Japan Travel Center’ ที่สนามบินเป็นอันดับแรก สาเหตุที่เราเลือกซื้อบัตรประเภท Kintetsu Rail Pass plus เพราะเป็นบัตรที่สามารถใช้ขึ้น-ลงรถไฟ Kintetsu ได้ไม่อั้นตลอด 5 วัน และเราวางแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยวในมิเอะ ยาวไปจนถึงโอซาก้า และนารา บวกกับสิทธิพิเศษในการเดินทางจากสถานีรถไฟไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ด้วยรถบัสรถบัสมิเอะโคซือ นาราโคซือ และรถโดยสารประจำทางของเมืองโทบะ (คาโมเมะบัส) ได้ฟรีตลอดระยะเวลา 5 วันนับตั้งแต่เปิดใช้งานบัตรด้วย ดังนั้นบัตรนี้จึงตอบโจทย์แผนเที่ยวของเราได้เป็นอย่างดี
ราคาตั๋ว Kintetsu Rail Pass plus ผู้ใหญ่ 5,000 เยน / เด็ก 2,500 เยน
FB https://www.facebook.com/CENTRALTIC/
พิกัด https://goo.gl/maps/UoZVtMU8DQL2
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึง Nabana no Sato หนึ่งในเทศกาลไฟประดับที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ปีนี้เขามาในธีม “JAPAN” Japanese scene ซึ่งเป็นการรวบรวมเอาสถานที่และกิมมิคของความเป็นญี่ปุ่นมารวมไว้ในงานนี้ สำหรับการเข้าชมงานนี้เราต้องซื้อบัตรเข้าในราคา 2,300 เยน ซึ่งในราคานี้เขาจะแถมคูปองมูลค่า 1,000 เยน เอาไปใช้แทนเงินสดในร้านต่างๆ ที่อยู่ภายในบริเวณงาน ซึ่งเรากับเพื่อนก็จัดไปจ้า เอาไปลงกับอาหารมื้อแรกในญี่ปุ่นซะเลย
หลังจากที่เรากินอาหารกันอิ่มแล้วก็ได้เวลาเข้าไปชมความอลังการของงานประดับไฟ Nabana no Sato กันแบบเต็มตา ขอบอกว่าอลังการดาวล้านดวงอย่างที่โม้ไว้จริงๆ ที่นี่เขามีจัดแบ่งเป็นโซนต่างๆ ทั้งอุโมงไฟความยาวมากกว่า 200 เมตร และไฟประดับที่ตกแต่งเป็นรูปร่างต่างๆ ด้านในสุดจะมีการจัดแสดงไฟ บอกเล่าเรื่องราว วัฒนธรรม และสถานที่สำคัญต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งบอกเลยว่าถ้าใครได้มาเห็นด้วยตาจะว้าวมาก ด้วยความที่สถานที่จัดงานเป็นพื้นที่สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Nagashima Resort เราจึงสามารถตื่นตาไปกับความสวยงามของดอกไม้ต่างๆ ที่ออกจะดูสวยงามเป็นพิเศษเวลาแสงไฟสีสันแปลกตามาตกกระทบ ด้วยความที่งาน Nabana no Sato จัดขึ้นตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วง ผ่านฤดูหนาว ลากยาวไปถึงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อากาศกำลังหนาวเย็นได้ที่ เลยทำให้บรรยากาศการเดินชมแสงไฟที่นี่ออกจะได้บรรยากาศโรแมนติกมากๆ ถ้าใครมากับแฟนนี่บอกเลยว่าฟินสุดๆ ขนาดเรามากับแกงค์เพื่อน เดินถ่ายรูปไป ทะเลาะกันไป ยังรู้สึกว่ามันดียยยย์สุดๆ ไปเลยแก
เวลาเปิด-ปิด : วันหยุด 9 โมงเช้า – 4 ทุ่ม / วันธรรมดา 9 โมง – 3 ทุ่ม
ค่าเข้าชม 2,300 เยน (แถมคูปองเงินสด 1,000 เยน)
พิกัด https://goo.gl/maps/oB4H5dzfYrK2
หลังจากเดินชมไฟกันจนถึงเวลาเกือบสี่ทุ่ม เราก็กลับออกจากงานและเดินทางมาที่สถานี Kintetsu Yokkaichi เพื่อไปเช็คอินที่โรงแรม APOA Hotel ซึ่งอยู่ห่างออกไปแค่ 600 เมตร เรียกว่าอาหารยังไม่ทันย่อยก็ถึงแล้ว เราเช็คอินและแยกย้ายเข้าห้องพักไปเก็บของ ต้องบอกว่าห้องพักที่นี่ดูสะอาดตา ไม่เน้นตกแต่งเยอะแยะรุงรัง เน้นการใช้งานเป็นหลัก แต่อย่าว่าไปนะห้องพักขนาดกำลังดี ไม่แคบจนอึดอัด อ้อ เขามีฟรีไวไฟ และอ่างอาบน้ำให้นอนแช่เล่นด้วยนะด้วย เราเลยจัดไปนอนแช่น้ำอุ่นให้สบายใจสักหน่อย ก่อนจะลงไปพบเพื่อนๆ ที่นัดกันไว้หน้าล็อบบี้ เพราะเราจะออกไปเดินเล่น หาของอร่อยๆ กิน
APOA Hotel http://en.apoahotel.com/
พิกัด : https://goo.gl/maps/RuUHir7ngLB2
เดินออกจากโรงแรมมาสักพักเราก็จ๊ะเอ๋เข้ากับร้านราเมนคุณป้า บรรยากาศภายในร้านดูคึกคัก มีคนกำลังนั่งกินค่อนข้างเยอะ ท่าทางจะเป็นร้านเด็ด เราเลยเดินเข้าไปด้านใน พอได้ที่นั่งแล้วก็มีคุณป้าท่าทางใจดีเดินออกมาต้อนรับพร้อมเมนูในมือ ซึ่งเป็นเมนูภาษาญี่ปุ่น และไม่มีภาพ! แล้วเราแต่ละคนคือ นอกจากคำว่าสวัสดีกับขอบคุณแล้วก็แทบจะไม่รู้คำอื่นๆ ในภาษาญี่ปุ่นเลย ที่ร้านเองก็ไม่มีคนสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เราเลยต้องอาศัยภาษามือ และภาษากู้เกิ้ล! พิมพ์ชื่อร้าน Tenkaippin เข้าไป แล้วจิ้มๆ รูปอาหารที่มีคนรีวิวไว้ใน Trip Advisor จนได้ราเมน+เกี๊ยวทอด คนละหนึ่งเซ็ตใหญ่มากิน ซึ่งต้องบอกว่ารสชาติเด็ดดวงทะลวงใส้มาก น้ำซุปที่คุณป้าเคี่ยวมาจนข้นคือทีเด็ดจริงๆ แนะนำให้มาลองชิมกันดู ชื่อร้าน Tenkaippin เปิดถึงตีสาม คุณป้าน่ารักอัธยาศัยดีมาก
หลังจากจัดการราเมนชามโตบวกเกี๊ยวอีกคนละจานใหญ่เข้าไป เราก็เช็คบิล โบกมือลาคุณป้า กลับมาพักผ่อนที่โรงแรม เปลี่ยนเสื้อผ้า โยนกางเกงใน #NAKIE ทิ้งไปปปป๊! 555+ ต้องบอกก่อนว่า NAKIE (#เนคกี้) เป็นกางเกงในอนามัยแบบใส่แล้วทิ้ง ซึ่งเหมาะมากสำหรับคนที่อาจจะอยู่ช่วงนั้นของเดือน รวมไปถึงคนเดินทางบ่อยๆ อย่างเรา เพราะออกทริปแต่ละทีกลับถึงบ้านก็แทบหมดแรงแล้ว เสื้อผ้าอย่างอื่นส่งซักไปแล้ว กางเกงในนี่สิต้องซักเอง แค่คิดก็หมดแรงแล้ว เราเลยตัดปัญหาความขี้เกียจเฉพาะบุคคลออกไป ด้วยการใช้เจ้าเนคกี้นี่แหล่ะเป็นตัวช่วย ข้อดีอีกอย่างคือตอนยัดเสื้อผ้าใช้แล้วลงไปในเป้ จะได้ลดกลิ่นอับกวนใจตอนเปิดกระเป๋าออกไปด้วย แถมเจ้ากุงเกงใน #NAKIE นี้ยังใส่สบาย ให้ความรู้สึกสะอาด ไม่อับชื้น ไม่ระคายเคืองผิวซะด้วยสิ จัดไป!
พิกัด ร้าน Tenkaippin https://goo.gl/maps/uuApAtnPEgM2
NAKIE : https://www.btqcollection.com/
FB NAKIE : https://www.facebook.com/nakiethai/
วันที่สองตื่นเช้ามาเราก็เช็คเอาท์ แบกกระเป๋าออกมาเที่ยวต่อ วันนี้ก็เช่นเคย เราเดินทางด้วยรถไฟ #kintetsu เป็นหลัก วันนี้เราจะไปกันที่ ปราสาทอิงะ อุเอโนะ(Iga Ueno Castle) ไปดูพิพิธภัณฑ์นินจา และตามล่าเนื้อมัตสึกซากะกันถึงถิ่น เราออกเดินทางจากสถานี Kintetsu Yokkaichi แวะเปลี่ยนขบวนที่สถานี Iga-Kambe (D52) เพื่อมาต่อรถไฟสาย Iga Railway มาลงสถานี Ueno-shi ก่อนจะเก็บสัมภาระไว้ในตู้ล็อกเกอร์ แล้วออกไปเดินเที่ยวกันแบบตัวปลิว
เราเริ่มต้นวันกันด้วยการเดินชมปราสาทอิงะอุเอโนะ (Iga Ueno Castle) ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญและเป็นสัญลักษณ์ของเมืองอิงะ ในจังหวัดมิเอะ โดยปัจจุบันตัวปราสาทได้ถูกปรับใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดเก็บอาวุธ ชุดเกราะซามูไร งานศิลปะ และโบราณวัตถุจากทั่วภูมิภาคคันไซ
เราต้องขอบอกว่าปราสาทอิงะอุเอโนะเป็นปราสาทที่มีสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยมและยังคงความงดงามแบบคลาสสิกเอาไว้ได้อย่างดี แม้จะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเอโดะ (ช่วงปี ค.ศ. 1603-1867) และผ่านการบูรณะหลังจากได้รับความเสียหายจากพายุ โดยปราสาทแห่งนี้เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีทิวทัศน์สวยงามจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งชาติ (National Historical Site) และถูกเลือกจากสมาคมปราสาทของญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่งในร้อยปราสาทสำคัญของประเทศ
นอกจากตัวอาคารที่ก่อสร้างขึ้นอย่างสวยงามแล้วสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นของที่นี่ก็คือกำแพงหินรอบปราสาทด้านทิศตะวันตกของปราสาท ที่สูงถึง 30 เมตร ซึ่งถือได้ว่าเป็นกำแพงหินของปราสาทที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นด้วย
พิกัด https://goo.gl/maps/G8nqmfc6tvF2
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 500 เยน / นักเรียนและผู้สูงอายุ 200 เยน
เวลาเปิด-ปิด: 9:00 น. – 16:45 น
เรามาต่อกันที่พิพิธภัณฑ์นินจา ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่สวนอุเอโนะเช่นเดียวกับปราสาทอิงะอุเอโนะ นั่นก็เพราะเมืองอิงะ (Iga) จังหวัดมิเอะเป็นจุดกำเนิดของนินจานั่นเอง ซึ่งที่พิพิธภัณฑ์ Ninja Museum of Igaryu นี้เขาจะมีโชว์ศิลปะการต่อสู้แบบนี้จาให้ชมด้วย เพราะนินจาแห่งอิงะเขาเป็นนินจาที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้และใช้อาวุธ เราเองก็อยากจะฝึกวิทยายุทธกับเขาบ้าง นิน นิน นิน!!
เวลาเปิด-ปิด :: 9.00-17.00 น.
ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ผู้ใหญ่ 756 เยน / เด็ก 432 เยน (ใช้ Kintetsu Rail Pass เป็นส่วนลดได้)
ค่าชมนินจาโชว์ 400 เยน
กลับออกมาจากสวนอุเอโนะ เราก็ดิ่งกลับมาที่สถานีรถไฟเพื่อเดินทางต่อไปที่เมืองมัตสึซากะ เราตั้งใจจะไปตามหาต้นตำรับเนื้อมัตสึซากะกันถึงที่กันซะหน่อย เราลงรถไฟที่สถานี Matsusaka เก็บเป้เข้าล็อกเกอร์และเดินหาร้านเนื้อเด็ดๆ กัน ระหว่างเดินชมเมืองหาร้านเนื้ออันเด็ดดวง เรารู้สึกว่าเมืองนี้ในช่วงกลางวันมันช่างเงียบสงบดีจัง แถมเมืองก็เล็กๆ น่ารัก มีแต่ความคาวาอี้เต็มไปหมด จนอดใจไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเช็คอินเก็บไว้
หลังจากเดินหาร้านกันทั่วเมืองมัตซึซากะจนเจอร้านถูกใจแล้วเราก็แวะสิจ๊ะ รออะไร ร้านมีที่นั่งให้เลือกสองแบบคือนั่งแบบโต๊ะเก้าอี้ กับเบาะรองนั่งแบบญี่ปุ่น จริงๆ แล้วเราก็อยากจะนั่งแบบญี่ปุ่นอยู่เหมือนกันถ้าไม่ติดว่าระหว่างเดินหาร้านนั้นฝนตกตลอดทาง รองเท้าเราเลยออกจะอับๆ ไปนิด สงสารคนทั้งร้าน เพราะร้านนี้เป็นห้องแอร์
หลังจากเลือกที่นั่งเสร็จสรรพ พนักงานเสิร์ฟก็เอาเมนูมาให้เลือก ซึ่งเป็นเมนูภาษาญี่ปุ่น และไม่มีภาพประกอบ!! สถานการณ์คุ้นๆ เราเลยใช้ภาษามือและกูเกิ้ลเข้าช่วยอีกครั้ง โชคดีที่ทางร้านมีเว็บไซต์ซึ่งพอจะมีภาพประกอบให้เลือกชี้อยู่บ้าง เราเลยจิ้มๆ เลือกเนื้อมาย่างกันจนหนำใจ ซึ่งต้องบอกว่าการได้มากินเนื้อมัตสึซากะ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 เนื้อที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นกันถึงแหล่งกำเนิด เนื้อดีมากกกก รสชาติดีมากกกก น้ำจิ้มดีมากกกก เด็กเสิร์ฟดีมากกกก (เอ๊ะ!?!) สูตรย่างดีมากกกก กินคู่กะเบียร์ หืมมมม.. สัตว์กินเนื้ออย่างเรา ฟินไปถึงปรโลกเลยจ้าาาาาาา
ใครมาเที่ยวมิเอะ ต้องไปโดนให้ได้นะ
เว็บ http://wakitaya-honten.com/
เราใช้เวลาที่ร้านเนื้อย่างกันแทบจะทั้งบ่าย ฟินจนลืมเวลา ในที่สุดเราก็เช็คบิล ร้องเพลงซาโยนาระ โบกมือบ้ายบาย แล้วเดินกลับไปขึ้นรถไฟ Kintetsu กันต่อ (ไม่รอแล้วนะ)
Hotel Kintetsu Aquavilla Ise-Shima
เราพักกันที่ Hotel Kintetsu Aquavilla Ise-Shima ซึ่งเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมทะเล โอบล้อมด้วยวิวธรรมชาติ แม้ว่าตัวโรงแรมจะตั้งอยู่ห่างออกไปจากตัวเมือง แต่โรงแรมก็มีรถบัสรับส่งแขกที่เข้าพักเป็นประจำทุกชั่วโมงจากสถานีรถไฟ Kashikojima โดยใช้เวลาประมาณ 25 นาที แต่ด้วยวิวสองข้างทางที่สวยงามเป็นพิเศษโดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้ นั่งชมวิวสองข้างทางเพลินๆ แป๊บเดียวถึง หลังจากเดินทางถึงโรงแรมเราก็เช็คอินเข้าห้องพัก เก็บกระเป๋าแล้วลงมาเล่นเครื่องเล่น ซึ่งมีทั้งเกมหลากหลายประเภท ทำให้เรารู้สึกอยู่ในสวนสนุก แถมที่นี่ยังมีออนเซ็นในพื้นที่ของโรงแรมเองอีก ใครที่อยากผ่อนคลายก็จัดไปอย่าให้เสียเที่ยว
พิกัด https://goo.gl/maps/gEdR4CMXq1K2
เว็บ https://www.miyakohotels.ne.jp/aquavilla/english
ต้องบอกว่าห้องพักที่ Hotel Kintetsu Aquavilla Ise-Shima ดีงามมาก โอ่โถง สะอาดสะอ้าน สวยงามตามระเบียบ ข้าวของเครื่องใช้มีครบถ้วนกระบวนท่า เหมือนมาพักที่นี่แล้วไม่ต้องออกไปข้างนอกเลยก็ได้ หลังจากกลับขึ้นไปอาบน้ำแปลงร่างเป็นชาวญี่ปุ่น ด้วยชุดยูกาตะที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ และแล้วก็ได้เวลาอาหารเย็น ค่ำนี้เราจัดบุฟเฟ่ต์แบบเน้นๆ หนักๆ ด้วยเมนูอาหารที่เยอะละลานตา ทั้งเมนูแบบญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น และอาหารสากลก็มีให้เลือกกินเพียบ ทั้งเมนูเนื้อ เมนูทะเล ซาชิมิ ผลไม้ เครื่องดื่ม ของหวาน อาหารทานเล่นเพียบ เป็นสถานที่ที่สายแดกอย่างเราไม่เคยผิดหวัง หลังจากนอนหลับพักผ่อนกันมาแล้วทั้งคืน ตื่นเช้ามาเราก็จัดหนักอีกรอบ ด้วยอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ที่ห้องอาหารเดิมนี่แหล่ะ
พิกัด https://goo.gl/maps/gEdR4CMXq1K2
เว็บ https://www.miyakohotels.ne.jp/aquavilla/english
ไอเท็มที่เราต้องพกตลอดเวลาเดินทางคือน้ำยาบ้วนปาก ลูกอมดับกลิ่นปากอะไรทำนองนี้ แล้วตอนนี้เรามีเจ้าน้ำยาบ้วนปากแบบพกพา บีบ ฉีก บ้วน homhom Mouthwash Stick น้ำยาบ้วนปากแบบซองสไตล์ญี่ปุ่น พกไปด้วยทุกทริป มั่นใจ หอมได้ตลอดเวลา แพ็กเก็ตน่ารักน่าชัง
ไปดูกันได้ที่ https://web.facebook.com/homhomth
Line: @homhomth
อย่างที่เราเคยบอกไว้ว่าตลอดทริปนี้เราจะเดินทางด้วยรถไฟ #Kintetsu กันเป็นหลัก เพราะทั้งสะดวกสบาย ไม่แออัด และยังสามารถไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ได้อย่างครอบคลุม เช้าวันนี้หลังจากที่ทางโรงแรมมมาส่งถึงสถานีรถไฟ Kashikojima เราก็นั่งรถไฟต่อไปกันที่เมืองอิเสะ (Ise) เพื่อไปเที่ยวชมเมือง Ise และสักการะศาลเจ้าแห่งอิเสะ (Ise Grand Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าแห่งแรกและเป็นศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นด้วย
โดยเมืองอิเสะ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดมิเอะ เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีเสน่ห์และขึ้นชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าแห่งอิเสะที่เรากำลังจะไปสักการะกันนี้ด้วย
พิกัด https://goo.gl/maps/t2NySU8FzSq
เราลงรถไฟที่สถานี Ise-shi และเดินต่อไปที่ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Jingu หรือ Ise Grand Shrine) ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวญี่ปุ่นมานานนับ 2,000 ปี โดยในแต่ละปีจะมีผู้คนเดินทางมากราบไหว้มากกว่า 8 ล้านคนต่อปีกันเลยทีเดียว ซึ่งที่ศาลเจ้าอิเสะจะแบ่งออกเป็นศาลเจ้าส่วนนอก (Geku) และศาลเจ้าส่วนใน (Naiku) และยังมีศาลขนาดเล็กอื่นๆ อีกถึง 125 ศาล เราจึงเริ่มกันที่ศาลเจ้าด้านนอกก่อน ระหว่างทางจากสถานีรถไฟไปที่ศาลชั้นนอก เราก็จะผ่านบ้านเรือนร้านรวงที่เปิดขายของกินของเล่นน่ารักๆ เต็มสองข้างทางไปหมด แน่นอนว่าเราอดไม่ได้ที่จะแวะแช้ะภาพกันตลอดทาง ส่วนด้านหน้าทางเข้า Geku ก็จะมีซุ้มแจกของที่ระลึก ซึ่งเป็นพวงกุญแจสลักไม้ที่ทำมาจากไม้ของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในศาล ชาวญี่ปุ่นจึงสามารถนำไปเป็นเครื่องรางติดตัวไว้ให้รู้สึกอุ่นใจได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังมีเมล็ดข้าวญี่ปุ่นเอาไว้ให้เรานำไปบูชาหรือจะนำไปเพาะปลูกเพื่อเป็นเมล็ดพันธุ์ดีๆ เอาฤกษ์เอาชัยก็ได้ เพราะที่ศาล Geku หรือ ศาลเจ้าส่วนนอกนี้ ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นสถานที่สถิตย์ของเทพี Toyouke Omikami ซึ่งเป็นเทพีแห่งการเพาะปลูก
หลังจากเดินเข้ามาด้านในก็จะพบกับศาลย่อยต่างๆ มากมาย เช่นในรูปนี้จะมีก้อนหินศักดิ์สิทธิ์ (แต่บังเอิญเราไม่รู้ว่าคืออะไร แห่ะๆ) แต่เราเห็นคนญี่ปุ่นยืนมุงและยื่นมือไปในเขตที่กั้นเชือกไว้ เราเลยลองทำตาม และพบว่า เอ๊ย รู้สึกอุ่นๆ เหมือนกันนะ ก่อนที่เราจะโค้งคำนับเหมือนคนอื่นๆ และเดินไปชมศาลอื่นๆ ต่อ
ศาลเจ้าอิเสะเป็นศาลเจ้าชินโตที่ชาวญี่ปุ่นให้ความเคารพนับถือมาก และถือเป็นสถานที่ที่ทุกคนต้องมาสักการะให้ได้ครั้งหนึ่งในชีวิต โดยในพื้นที่ศาลอิเสะนี้ประกอบไปด้วยศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ 14 แห่ง รวมถึงข้าวของเครื่องใช้อันศักดิ์สิทธิ์ประกอบอีกกว่า 109 ชิ้น ด้วยความสวยงาม การเป็นศูนย์รวมทางจิตใจ และประวัติศาสตร์อันยาวนานของศาลเจ้าซึ่งตั้งอยู่ในผืนป่าเก่าแก่แห่งนี้ ทำให้ศาลเจ้าอิเสะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยองค์การ UNESCO
หลังจากเดินเยี่ยมชมความสวยงามและมนต์ขลังของ Geku หรือศาลเจ้าส่วนนอกแล้ว ก็ได้เวลาขยับไปที่ศาลเจ้าด้านใน (Naiku) กันแล้ว แต่เนื่องจากระยะทางจาก Geku ไปยัง Naiku ค่อนข้างอยู่ห่างไกลกันหลายกิโลเมตร จะให้เดินก็พอไหว แต่จะเสียเวลามากหน่อย เราเลยเลือกที่จะนั่งรถบัสจากหน้า Geku เข้าไปที่ Naiku กัน ซึ่งก็ต้องบอกว่าฟรีอีกแล้วจ้า แค่โชว์บัตร Kintetsu Rail Pass plus ให้คนขับรถดู
จากป้ายรถเมล์เดินไปอีกประมาณสองร้อยเมตร เราก็จะพบกับโทริอิ หรือประตูทางเข้าไปยังศาลเจ้าส่วนใหญ่อันใหญ่โตมโหฬาร แม้จะเป็นประตูไม้ขนาดใหญ่ที่ไม่ได้มีการประดับตกแต่งหรูหรา แต่ก็ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่และความขลังของสถานีที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ที่ประตูแห่งนี้เราจะต้องเดินเข้าไปทางด้านข้างของประตู เพราะคนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าตรงกลางประตูนั้นเป็นประตูสวรรค์และเป็นทางเข้าสำหรับเทพเจ้าเท่านั้น หลังจากผ่านประตูเข้าไป เราก็จะพบกับสะพานอุจิ ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำ Isuzu ที่ตัดไหลผ่านเปรียบเหมือนจุดเชื่อมโยงระหว่างโลกมนุษย์กับสถานที่สิงสถิตของทวยเทพตามความเชื่อของลัทธิชินโต
พิกัด https://goo.gl/maps/t2NySU8FzSq
ลังจากชื่นชมความสวยงามและเก็บภาพบรรยากาศของศาลเจ้าส่วนในเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็เดินกลับออกมาด้านนอกอีกครั้ง เมื่อมองไปยังฝั่งตรงข้ามของ Naiku เราก็จะจ๊ะเอ๋กับถนน Okage Yokocho Ancient Street ซึ่งเป็นถนนสายสำคัญของที่นี่ โดยเป็นถนนความยาว 1 กม. ที่เต็มไปด้วยอาคารสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ ซึ่งได้รับการก่อสร้างและตกแต่งโดยจำลองมาจากบ้านเมืองในยุคเอโดะ (Edo) โดยตลอดความยาวของถนนสายนี้เราจะพบกับร้านค้าต่างๆ มากมาย ทั้งร้านอาหาร ของกินเล่น ของที่ระลึก และของใช้หลากหลายประเภท ให้บรรยากาศเจ้าหญิงหลงยุคสุดๆ ไปเลยแก เราจึงเดินไป แวะไป ชิมบ้าง กินบ้าง ฟินลืมมม
พิกัด https://goo.gl/maps/jczejDsLZg32
เสร็จการการเดินช้อปปิ้งบนถนน Okage Yokocho Ancient Street กันแล้ว เราก็ชะแว้บ ปาดขวาลงมาตามซอยเล็กๆ ซึ่งเป็นทางเส้นเล็กๆ เลียบแม่น้ำ Isuzu เพื่อมาชมแม่น้ำระยะโคลสอัพ พร้อมเก็บภาพใบไม้เปลี่ยนสีกันริมแม่น้ำชิลๆ ขณะที่ชาวญี่ปุ่นทั้งครอบครัวและน้องๆ นักเรียนก็พากันเกาะกลุ่มมานั่งเมาท์มอยชมวิวแม่น้ำกันสบายใจ
ถัดจากนั้นเราพากันเดินทางกันไปต่อที่สถานี Uchiyamada (M74) แล้วต่อรถบัสไปลงที่ Meoto Iwa Higashi Kuchi เพื่อไปชม Meoto Iwa Rocks หรือหินแต่งงาน (Wedding Rocks) สารภาพว่าตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดจะเก็บบรรยากาศหรือไปเช็คอินอะไร เพราะวันนี้เราต้องเดินทางต่อกันอีกไกล แต่ระหว่างที่เราเข้าแถวยืนรอรับของที่ระลึกจาก Geku เมื่อช่วงเช้า เราได้บังเอิญพบกันคุณจูน ซึ่งเป็นผู้จัดการที่ศาลเจ้าอิเสะ เขาแนะนำเราว่าให้ลองไปเยือนดูสักครั้ง เพราะที่หินแห่งนี้เขาว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์ฝุดๆ ใครที่มีคู่อยู่แล้วก็จะไปขอพรให้รักยืนยาว ส่วนคนโสดก็ไปขอพรให้ได้คู่ ซึ่งเราอยู่ในหมวดหลังนะจ๊ะ (#พื้นที่โฆษณา)
สาเหตุที่หินคู่นี้ได้รับการนิยามว่าเป็นหินแต่งกันนั้นมาจากลักษณะของหินทั้งสองก่อนที่ถูกเชื่อมเข้าด้วยกันด้วยชิเมนาวะ (Shimenawa Rope) หรือเชือกเส้นใหญ่ๆ คล้ายกับมงคลบนศีรษะของบ่าวสาวในงานแต่งงาน ซึ่งคู่รักในตำนานนี้ก็คือ เทพอซานาวิ (Izanagi no Okami) และเทพอิซานามิ (Izanami no Okami) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งบนโลกและเป็นผู้ให้กำเนิดเทพเจ้าต่างๆ
ได้ยินแบบนี้เราเลย #ไปต่อไม่รอแล้วนะ
พิกัด https://goo.gl/maps/demb1HDFfsj
ด้วยความที่เรามากันช่วงฤดูใบไม้ผลิ ฟ้าก็จะเริ่มมืดไวขึ้น เราเลยต้องเซย์กู้ดบายหินแต่งงานและกลับไปขึ้นรถไฟ Kintetsu มุ่งหน้าสู่โอซาก้า หลังจากนั่งชมวิวมาตลอดทาง เราก็มาถึงสถานี Osaka-Uehommachi (D3) เพราะคืนนี้เราพักกันที่โรงแรม Sheraton Miyako Hotel Osaka ซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟเป๊ะ สะดวกสบายอย่าบอกใครเลยล่ะ
เราเข้าไปเช็คอิน วางกระเป๋า ทิ้งตัวสักพัก ก่อนจะไปนอนแช่น้ำอุ่นในห้องน้ำ เรียกพลังคืนมาสักแป๊บ ต้องบอกว่าอาบน้ำเสร็จนี่เราไม่อยากจะทิ้งตัวลงบนเตียงเลยล่ะ เพราะเตียงกว้าง นุ่ม น่านอนมาก ห้องกว้างขวาง สะอาดสะอ้าน และสะดวกสบายจนไม่อยากออกไปเดินเล่นแล้ว (อยากนอน) แต่เราก็ต้องห้ามใจไว้ก่อน เพราะเรานัดกับเพื่อนไว้ว่าคืนนี้เราจะไปตะลุยราตรีกันที่โอซาก้าาาาาา
พิกัด https://goo.gl/maps/NbHccD2cGGM2
เราออกจากโรงแรมขึ้นรถไฟมาที่สถานี Namba ซึ่งห่างจากโรงแรมเราไปเพียงสองสถานี เพื่อมาตะลุยราตรีกันที่ Dotonbori ซึ่งเป็นย่านช้อป กิน เที่ยว ที่สำคัญของโอซาก้า ถ้าไม่มาเช็คอินถ่ายรูปคู่กับป้ายกูลิโกะถือว่ามาไม่ถึงนะจ๊ะ ย่าน Dotonbori เป็นย่านที่เต็มไปด้วยแสงสีและผู้คนละลานตา ไม่ว่าจะสายช้อป สายแดก สายถ่ายรูป หรือสายปาร์ตี้ก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ซึ่งแน่นอนว่าเรากับเพื่อนคิดจะเดินสายแดกกันแล้ว เราก็เลยพากันเมียงมองหาร้านปิ้งย่างกันสุดฤทธิ์จนได้ร้านที่ถูกใจเราก็ซัดกันเต็มที่ ก่อนจะเดินอุ้มท้องเข้าไปส่องบาร์เบียร์ ร้านละแก้วสองแก้ว จนเริ่มดึก กว่าเราจะเรียกแท็กซี่กลับไปที่โรงแรมก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน แม้จะเหนื่อยสักหน่อย แต่เราว่าคุ้ม!
พิกัด https://goo.gl/maps/NVmoxneQLC42
วันสุดท้ายเราตื่นกันเช้าหน่อย เช็คเอาท์แล้วเก็บกระเป๋าที่ล็อกเกอร์ข้างสถานีรถไฟ เพราะเราจะไปชมน้องกวางกันที่เมืองนาราแบบเดินตัวปลิว ซึ่งเราเราก็เดินทางกันด้วยรถไฟ Kintetsu เช่นเคย
หลังจากลงรถไฟที่สถานี Nara ปุ๊บ ก็เรียกได้ว่าถึงสถานที่ท่องเที่ยวกันเลยจ้า เพราะข้างสถานีเป็นแหล่งช็อปปิ้งขนาดใหญ่ที่เราสามารถเดินทะลุไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ได้ ซึ่งที่แรกที่เราเดินเข้าไปเยี่ยมชมก็คือวัดโคฟุคุจิ (Kofukuji) ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 710 พร้อมกับการสถาปนาเมืองนาราเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นเลยทีเดียว จากนั้นเราก็เดินตัดเขาไปที่สวน Nara Park เพื่อเดินชิล ถ่ายรูปกับกวาง และให้อาหารกวางที่เดินสวนกันไปมาภายในสวนอย่างสบายอกสบายใจโดยมีฉากหลังเป็นใบไม้เปลี่ยนสีสวยงาม แล้วค่อยพากันขึ้นรถบัส (ฟรีอีกแล้วจ้า เพราะมีบัตร Kintetsu Rail Pass plus) ไปชมวัดโทไดจิ (Todai-ji) ซึ่งเป็นอาคารไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO
อันที่จริงแล้ว นาราเป็นเมืองที่ยังมีอะไรน่าสนใจอีกมากมาย โดยเฉพาะพื้นที่ทางประวัติศาสตร์และความน่ารักของชุมชนเมือง แต่เราก็ต้องจำใจเซย์กู้ดบายกลับไปซะก่อน เพราะคืนนี้เรามีนัดขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ กันที่สนามบินคันไซ โอซาก้ากันแล้ว งือออออ
พิกัด
วัดโคฟุคุจิ (Kofukuji) https://goo.gl/maps/1k6ATB7YZNS2
สวน Nara Park https://goo.gl/maps/cf28dVbsdJ32
วัดโทไดจิ (Todai-ji) https://goo.gl/maps/VEaacVreq3U2
เรากลับมาเก็บกระเป๋าและนั่งรถบัสออกจากสถานีรถไฟไปที่สนามบินกันโดยตรง ก่อนจะไปเช็คอิน ฝากกระเป๋า และเดินหาของกินกันในอาคารผู้โดยสารกันอย่างเสือโหย
ทริปนี้เราเดินทางกลับกันเกือบเที่ยงคืนและถึงกรุงเทพฯ ตอนใกล้สว่าง ซึ่งเราจะได้ใช้เวลาพักผ่อนบนเครื่องกันอย่างเต็มที่ โชคดีที่สายการบิน #AirAsiaX ให้บริการเที่ยวบินตรง จากดอนเมืองไปทั้งที่โอซาก้า และนาโกย่า ทำให้เราสามารถใช้เวลาเดินทางท่องเที่ยวกันได้อย่างเต็มที่ สามารถวางแผนเที่ยวโดยไม่ต้องย้อนกลับไปกลับมามากมาย สามารถบินไปลงอีกเมือง และกลับจากอีกเมืองได้ ขณะที่การเดินทางภายในประเทศ เราก็ยังหมดห่วงเรื่องการขึ้น-ลงรถไฟ หรือรถบัสไปยังสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ด้วยบัตร Kintetsu Rail Pass plus เพียงใบเดียว จะขึ้นจะลงทีไหน หลงไปอีกที่ กลับมาก็ยังฟรี สายหลงอย่างเราเลยอุ่นใจไปได้เยอะ
ต้องบอกว่าทริปนี้เป็นทริปที่อิ่มทั้งท้อง และอิ่มอกอิ่มใจที่ได้มาชื่นชมความงามของมิเอะ จังหวัดเล็กๆ แต่สถานที่ท่องเที่ยวแน่นเอี๊ยด และด้วยที่ตั้งของจังหวัดอิเมะที่อยู่ใกล้กับอีกหลายจังหวัดหลัก เลยทำให้เราได้มีโอกาสแถมโอซาก้าและนาราไปด้วย นี่ถ้ามีเวลามากกว่านี้อีกนิด เราคงบวกเกียวโตเพิ่มไปด้วยอีกเมืองแล้วจ้า
ส่วนใครที่กำลังเล็งๆ ไว้ว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่นแต่ไม่รู้จะไปไหน จัดมิเอะไปเลย! เราเชียร์เต็มที่
อ่ะ ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ นี่เลย ทางไปจองตั๋ว https://www.airasia.com/th/th/
I am sure this article has touched all the internet users, its really really pleasant post
on building up new weblog.