สำหรับทริปนี้ขอเลือกมาสัมผัสมุมที่เงียบสงบเหมาะต่อการไปลองใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ตามสไตล์ชนบทญี่ปุ่น พาทุกคนตรงดิ่งมาที่หมู่บ้านน่ารักในดวงใจของเราอย่าง Ine Fishing Village หมู่บ้านชาวประมงแห่งเกียวโต ไฮไลท์คือนอนเรียวกังชมวิวบ้าน Funaya ตั้งเรียงรายริมน้ำ ลองลิ้มชิมรสอาหารที่สดใหม่จากท้องทะเล แวะคาเฟ่เก๋ ๆ เดินเล่นรอบหมู่บ้าน ใช้เวลาให้เต็มที่เสพความสวยงาม ทำตัวชิล มองน้ำ มองเมฆ ทุกอย่างลงตัวเหมือนเสกสรรปั้นแต่งมาเพื่อเราเท่านั้น แม้จะเป็นเวลาเพียง 1 คืน 2 วัน แต่คือช่วงสั้น ๆ ที่สร้างความทรงจำดี ๆ ไปอีกยาว ๆ
สำหรับการเดินทางเราขอแนะนำเส้นทางใหม่ล่าสุดของสายการบิน Vietjet ที่มีบินตรงเชียงใหม่-โอซาก้า ทุกวันอังคาร, พฤหัสบดี และเสาร์ บินชิล ๆ ตอนดึกเพียง 5 ชั่วโมงก็ถึงโอซาก้าตอนเช้า เที่ยวต่อได้เลย และถ้าจะให้ดีอย่าลืมจองอาหารร้อนและเครื่องดื่มฟิน ๆ ก่อนบินจาก Sky Cafe ไว้ด้วยล่ะ จะได้ไม่หิวตอนดึก จองเลยที่ https://th.vietjetair.com
สำหรับทริปนี้เราบินตรงจากเชียงใหม่-โอซาก้า กับสายการบิน Vietjet ซึ่งตอนนี้เค้ามีบินทุกวันอังคาร, พฤหัสบดี และเสาร์ เพียงแค่ 5 ชั่วโมงเท่านั้น บินตอนดึกหลับหนึ่งตื่นถึงโอซาก้าเช้า ๆ เที่ยวต่อได้เลยแล้ว แถมราคายังจับต้องได้ การเดินทางสะดวกสบาย ซึ่งถ้าเป็นช่วงที่สายการบินเค้ามีโปรโมชั่น บอกเลยว่าคุ้มมากก… ใครจะบินไปญี่ปุ่นนี่แนะนำให้รีบจองเลย
ไปกดดูราคาหรือจองได้ที่ : th.vietjetair.com
ทริปนี้เราขอตรงดิ่งมาที่หมู่บ้านน่ารักในดวงใจของเรา เริ่มต้นเดินทางด้วยการขึ้นรถไฟJR ไปลงสถานี Amanohashidate แล้วออกไปต่อรถบัสของTankai Busที่อยู่หน้าสถานี เพื่อไปลงที่สถานีอิเนะ
***สำหรับใครที่คิดจะเดินทางแบบไปกลับ* รอบรถจากอิเนะกลับมาที่สถานีรถไฟ จะค่อนข้างน้อยและห่างกันพอสมควรดังนั้นควรเช็ครอบรถให้ดีมิเช่นนั้นจะพลาดรถไฟได้
Ine Bay Sightseeing Boat
ภายในหมู่บ้านแห่งนี้แกสามารถเลือกลงได้สองจุดคือพี่ป้ายอิเนะเลย หรือที่ป้ายท่าเรือที่อยู่ก่อนป้ายอิเนะ 1 ป้ายก็ได้เช่นกัน หากมีเวลาพอแนะนำให้เลือกลงตั้งแต่ไปท่าเรือเพราะจะได้ซื้อตั๋วขึ้นเรือล่องไปตามอ่าวอิเนะ และให้อาหารนกพร้อมพร้อมกับการชมวิวของหมู่บ้านให้ทั่วซะก่อน
ขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยากเพราะที่ป้ายรถเมล์จะมีร้านขายของฝากให้แกเดินเข้าร้าน แล้วไปซื้อตั๋วด้านในก็เตรียมตัวขึ้นเรือได้เลยซึ่งเรือจะมีให้บริการตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าจนถึง 4 โมงเย็นและใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในแต่ละรอบ
อ้อ ข้อควรรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือก่อนขึ้นเรืออย่าลืมซื้ออาหารนกซึ่งก็คือข้าวเกรียบกุ้งตราคาล์บี้ติดมืออย่างน้อยหนึ่งห่อด้วยนะ
พอถึงเวลาขึ้นเรือเจ้าหน้าที่ก็จะตะโกนเรียกพวกเราไปร่วมสนุกกับการให้อาหารนกและชื่นชมความงามของท้องน้ำเวิ้งว้างและแผ่นฟ้าไร้เมฆที่กลางอ่าวอิเนะ เรือจะมีสองชั้นให้นั่งแต่เราขอแนะนำให้เปิดถุงคาล์บี้แล้วพรุ่งตัวไปบนชั้นสอง หยิบขนมแล้วชูขึ้นให้ไวแต่ระวังตัวให้ดียังไม่ทันที่จะนับหนึ่งถึงสามเจ้านกสุดฉลาด ก็จะโฉบมากินอาหารอย่างรู้ดี งานนี้ล่ะรัวชัตเตอร์ให้เร็วที่สุดจะได้มีชอตงามๆ ที่จะนกกำลังกางปีกมารอรับอาหารที่ปลายนิ้วของเราไว้ลงเรียกไลท์ในโซเชียล ขนมหมดห่อก็ลองทอดสายตาไปยาวยาวสังเกตุบ้านไม้สูงสองชั้น และเรือลำน้อยที่ลอยนิ่งอย่างเงียบงัน ปล่อยเวลาและสายตาไว้อย่างนั้น สำหรับเราภาพที่เห็นตรงหน้าเท่านี้ก็คุ้มมากเกินพอแล้ว
แต่มันก็คุ้มค่าได้มากกว่านี้อีก หลังจากที่เราเดินตรงตามถนนสายน้อยผ่านบ้านฟุนายะ ผ่านเสียงคลื่นและผ่านกลิ่นปลาตากแห้ง ช่างน่าแปลกใจที่ความเรียบง่ายนี้กลับทำให้ หัวใจเรารู้สึกเบิกบานได้มากกว่าที่คิด และความธรรมดาเหล่านี้เองก็ช่างน่าหลงใหล เสียงคลื่นกระทบฝาบ้านไปตลอดเส้นทางแม้เราไม่เห็นสายน้ำแต่เราก็รับรู้ได้
ว่ามันโอบล้อมเราอย่างใกล้ชิด
かもめ
มัวแต่จินตนาการอย่างเพลิดเพลิน ก็มีแต่เสียงจากกระเพาะนี่แหละ ที่เรียกเรากลับสู่ความเป็นจริง เราเลยแวะทานมื้อเที่ยงที่ร้านかもめ ร้านริมน้ำที่เสริฟอาหารบนชั้นสอง มองเห็นอ่าวได้แบบกว้างๆ และบรรยากาศดีชวนร้องว้าว ที่สำคัญอาหารก็อร่อยน่าประทับใจมากๆ ทางเราสั่งเป็นเซตข้าวต้มน้ำชา วิธีการกินคือเทน้ำชาลงในข้าว กินแกล้มกับปลานึ่งซอส ผักดอง และซุป ส่วนเพื่อนเราเป็นเซตข้าวพร้อมปลาดิบ ที่เคียงมาพร้อมปลาหมึกดองและปลานึ่งซอสคนละชนิดกับของเรา จริงๆเราว่ามันเป็นการทำอาหารที่ดูเรียบว่านมากเลยนะ ไม่ได้ปรุงแต่งหวือหวา เคี่ยวนานสามวัน เครื่องเทศร้อยแปดชนิด แต่คงเพราะความสดใหม่ และวัตถุดิบที่ได้รับการดูแลอย่างดี
อาหารของชาวญี่ปุ่นเลยออกมาอร่อยแบบ วิ้งงงงงง งงง งง ไอเลิฟ
Mukai Brewery
เดินต่อไปอีกนิดเราก็แวะกันอีกจุดที่โรงงานสาเก ความพิเศษของที่นี่คือ เป็นโรงสาเกที่มีแต่ผู้หญิงล้วนเป็นคนกลั่น ซึ่งก่อตั้งและคงธรรมเนียมนี้ไว้มายาวนานกว่า 260 ปี ไม่ว่าสูตรจะถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องแต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงถูกรักษาไว้ ให้เป็นเอกลักษณ์ของโรงกลั่นสาเกมุไคชุะ Mukai Shuzo ก็คือวิธีการขนส่งที่จะใช้การขนส่งผ่านทางน้ำในแบบอดีตเท่านั้น ที่นี่เราสามารถเข้าชมวิธีการผลิตรวมถึงแวะชิมและซื้อของฝากกลับมาได้ด้วย
ข้อดีของการลงจากรถบัสหนึ่งป้ายก่อนถึงหมู่บ้านคือเราได้เดินเสพความสวยงามได้อย่างครบถ้วน อากาศดี ๆ บรรยากาศแสนสงบแบบหาจากชีวิตประจำวันได้ยาก แถมยังได้เห็นวิวบ้านแบบ Funaya ตั้งเรียงรายอยู่ริมทะเลอย่างสวยงามตลอดเส้นทาง (บ้าน Funaya คือบ้านที่มีด้านล่างเป็นอู่จอดเรือ เพราะคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพชาวประมง) มันช่างเป็นชนบทในฝันของเราจนอยากให้ที่ไทยมีแบบนี้บ้างเลยจริง ๆ
Waterfront Inn
คราวก่อนเราเคยมาที่นี่แบบวันเดย์ทริปแล้วติดใจจนต้องบอกตัวเองไว้ว่ารอบหน้าต้องหาโอกาสมาพักสักคืน คราวนี้เราเลยไม่พลาดที่จะจองเรียวกังที่ดัดแปลงฟุนายะชั้นบนของอู่เรือมารองรับนักท่องเที่ยว เราเลือกพักกันที่ Waterfront Inn ที่พักขนาดเล็กริมน้ำ มีห้องทั้งหมดเพียงแค่ 8 ห้องเท่านั้น
แม้จะเป็นที่พักเล็ก ๆ แต่การบริการก็ยังคงความน่ารักตามแบบฉบับญี่ปุ่นไม่มีข้อติมีแต่คำชม ภายในห้องปูฟูกไว้บนเสื่อทาทามิให้ครบจำนวนคนเข้าพัก ทุกห้องมีหน้าต่างให้เราเปิดรับลมจากอ่าวและชมวิวได้ตลอดทั้งวัน พร้อมทั้งโต๊ะน้ำชาและชุดชาพร้อมขนม รวมไปถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ มีห้องน้ำสำหรับใช้รวมกันและห้องอาบน้ำที่เปิดปิดเป็นเวลา ลองนึกดูภาพของห้องนอนที่มองเห็นอ่าวแบบใกล้ชิดดูสิ เราว่ามันคือภาพฝันของใครหลายคน รวมถึงตัวเราด้วยเช่นกัน
จองได้ที่ yosasou278.wixsite.com/mysite (ไม่สามารถเลือกห้องนอนได้ ทางที่พักจะจัดให้เราเอง)
เรานั่งจิบชามองวิวแล้วก็คิดขึ้นมาในใจว่าเทคโนโลยีแค่เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น
แต่ธรรมชาติต่างหากล่ะที่เป็นของจริงและเราก็อยู่ได้เพราะพวกเขา เราจึงควรที่จะช่วยกันรักษาให้เสียงคลื่นยังคงกระทบฝั่ง ให้แสงดาวยังคงสาดกระทบก้อนหิน ให้เราฝูงปลายังหากินได้อย่างอิสระในสายน้ำ แค่หนึ่งพฤติกรรมของเราที่เปลี่ยนแปลงไป อาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ แต่อย่างน้อยเราก็ไม่สร้างภาระให้โลกมากขึ้น ลด ละ เลิกการใช้ขยะแบบครั้งเดียวกันตั้งแต่วันนี้ดีกว่า อีก 10 ปีข้างหน้าเราจะได้อย่างนี้ธรรมชาติสวยงามให้นั่งมองยามแก่เฒ่า
นั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ไม่ทันไร นาฬิกาก็บอกเวลา 6 โมงตรงตรง นั่นแปลว่าถึงเวลานัดหมายสำหรับมื้อค่ำ แน่นอนว่าเราไปตรงเวลาแบบไม่ขาดไม่เกิน และก็ได้พบกับอาหารเซ็ทใหญ่ไฟกระพริบที่มีทั้งซาซิมิปลาทะเลจานเบิ้ม กุ้งซอสหวาน ปลาย่างเกลือ และเครื่องเคียงอีกนานา ที่ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะพร้อมด้วยแสงไฟโทนสีอุ่นและวิวด้านหน้าที่สามารถมองผ่านกระจกบานใหญ่ไปเจออ่าวและบ้านไม้ฝั่งตรงข้าม นี่มันดินเนอร์ในฝันหรือเปล่า
และแม้จะอยากตื่นสายสักแค่ไหน แต่ใจเรามันเรียกร้องให้รีบตื่นเช้ามาชมวิว เดินเล่นกันต่อ ดังนั้นวันนี้ 7 โมงปุ๊บเราก็กระโดดลุกจากที่นอนปั๊บ เพราะเรามีนัดทานอาหารเช้าพร้อมกันในห้องอาหารเดียวกับมื้อเย็นวาน สำหรับมื้อเช้าเป็นเซ็ทอาหารได้น่ารักกรุบกริบตามแบบญี่ปุ่น ประกอบด้วยข้าวสวยร้อน ๆ ใส่ไข่ดิบ ทานคู่กับปลาหนึ่งชิ้น ซุปหนึ่งถ้วย และเครื่องเคียงพอน่ารัก ๆ ถือเป็นการเริ่มต้นวันที่ดีและเพิ่มความงอแงไม่อยากกลับของเรามากยิ่งขึ้น
เช็คเอาท์จากที่พักเรียบร้อยเราก็เดินต่อไปจุดที่ยังไม่ได้สำรวจไปตามถนนที่สองข้างทางคือบ้านเรือนฝั่งหนึ่งติดทะเล อีกฝั่งเป็นภูเขา แวะถ่ายรูปเล่นตรงนั้นตรงนี้ แม้จะเป้นสถานที่ที่คล้ายกันตลอดเส้นทางแต่ก็สามารถยกกล้องมากดชัตเตอร์ได้ไม่หยุดไม่หย่อน
Koyo Maru
จากที่คิดว่าไม่น่ามีอะไรทำมากนักแต่ตั้งแต่เดินทางออกมาเราก็ยังไม่ได้หยุดแวะพักอยู่เฉยๆเลยเพราะหลังจากเดินต่อมาอีกสักนิดเราก็เจอกับป้ายภาษาญี่ปุ่นและของฝากที่ถูกวางไว้อย่างกระจุกกระจิกที่หน้าร้านทำให้เราหลงเดินตามเข้าไปแบบไม่รู้ตัวแล้วก็พบกับโรงจอดเรือที่มีคุณลุงคอยเก็บค่าเข้าให้เราเข้าไปถ่ายรูปได้ เข้ามาภายในจะคล้าย ๆ Exhibition ขนาดย่อม ๆ จัดแสดงภาพถ่ายเก่า ๆ อดีตของหมู่บ้าน และความสวยงามในมุมต่าง ๆ ของหมู่บ้าน รวมไปถึงการได้เห็นวิวฉากหน้าเป็นเรือประมงขนาดกลางและฉากหลังคืออ้าวอิเนะสีฟ้า คอมโพสดีขนาดนี้หน้าที่ของเราก็เหลือแค่หามุมเข้าไปยืนทำสวยช่วยชุมชน แล้วให้เพื่อนกดชัตเตอร์ได้เลยแค่นั้นเอง
INE Cafe
จุดนี้เหมือนจะเป็นไอจีสปอตสำคัญของหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ นี่คือคาเฟ่ที่เกิดจากความคิดของคนท้องถิ่นที่รวมตัวกันออกแบบให้คาเฟ่เป็นมิตรกับท้องถิ่น และเหมาะกับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยสร้างอาคารขึ้นใหม่โดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมเช่นเดียวกับฟุนายะ ที่ชั้นล่างจะเป็นโถงโล่ง ๆ แต่ติดกระจกบานใหญ่เข้าไป และใส่โต๊ะเก้าอี้แทนเรือหาปลาสำหรับชมวิว ส่วนขนมต่าง ๆ ที่ขายกันนั้นก็ใช้วัตถุดิบที่หาได้จากในหมู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ วิวดีขนาดนี้ก็ต้องสั่งเครื่องดื่มเย็น ๆ มาทานคู่กับขนมหวานหอมแล้วป่ะ
ทั้งภายในและภายนอกของคาเฟ่ก็สามารถเสพบรรยากาศได้แบบไม่มีที่ติ และถ่ายรูปได้สวยสมใจสาว ๆ นักโพสต์อย่างพวกเราเหลือเกิน
นอกจากอาการและเครื่องดื่มที่คอยให้บริการแล้ว ที่นี่ยังมีของฝากน่ารัก ๆ ให้เราสามารถซื้อกลับติดไม้ติดมือกันด้วย
ถ้าจะให้ใช้คำง่าย ๆ มาบรรยายทริปนี้ก็คงต้องเป็นคำว่า เพอร์เฟก แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นการมาครั้งที่สองของเราแล้ว แต่เรายังคงอยากรู้ว่าหน้าหนาวที่นี่จะหนาวแค่ไหน ใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่จะสวยและโรแมนติกขนาดไหน ตอนฝนตกจะสวยหรือไม่ เรายังอยากเห็นที่นี่อีกทุก ๆ ฤดู เรารักที่นี่มากและอยากให้ทุกคนได้มาสัมผัสและรักที่นี่เหมือนเราด้วย หากใครเลยมาแล้วและประทับใจอะไรหรืออยากแบ่งปันความรู้สึกไหน ก็แชร์กันเข้ามาได้เลยน้า
ด้วยรัก
บันทึกคนขี้เที่ยว